ตามที่คุณขอมา ในตอนนี้ เราจะพาไปรู้ถึงเบื้องลึกความลี้ลับของป่าอาโอคิกาฮาระ "ทะเลต้นไม้" หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า 'ป่าอัตวินิบาตกรรม' นั่นเอง ทำไมป่านี้จึงดูน่ากลัว? มันมีอะไรแตกต่างกับที่อื่น? มาหาคำตอบกันอย่างละเอียดเลยครับ!
อาโอคิกาฮาระ คืออะไร?
อาโอคิกาฮาระ เป็นพื้นที่ป่าทึบที่ตั้งอยู่ที่ตีนเขาของภูเขาไฟฟูจิ อยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของยอดเขานั่นเอง มักจะกล่าวกันว่า ป่าอาโอคิกาฮาระนี้ "ตั้งอยู่ในเงาของภูเขาไฟฟูจิ" ตัวป่าเองก็มีพื้นที่ใหญ่ๆแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนนอกที่ยังโปร่ง มีผู้คนเดินกันมากจนพบขยะมากมาย และส่วนในที่ทึกจนแม้แต่สัตว์ป่ายังหลีกเลี่ยงครับ
ชื่ออาโอคิกาฮาระนั้น สะกดว่า 青木ヶ原 แปลตามตัวว่า ที่ราบต้นไม้ใบเขียว (ในสมัยก่อน 青い หมายถึงสีเขียว) โดยเฉพาะที่ป่าส่วนในนั้นมีต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดกันจนใบไม้ทึบ บดบังแสงแดดเสียจนแทบส่องไม่ถึงพื้นเลยทีเดียว แต่ก็คงสงสัยสินะครับว่า ทำไมที่ป่านี้จึงมีต้นไม้ขึ้นกันหนาแน่นเช่นนั้น อันนี้อยู่ที่ความพิเศษเฉพาะตัวของป่านี้ครับ
หินภูเขาไฟ
พื้นของป่าอาโอคิกาฮาระนั้นเป็นแผ่นหินภูเขาไฟที่เกิดจากการเย็นตัวของลาวาที่ปะทุจากภูเขาไฟฟูจิเมื่อปีพ.ศ. 1407 (ค.ศ. 864) ประมาณเกือบ 1200 ปีที่แล้ว หลังจากลาวาทำลายพื้นที่และเย็นตัวลงจนกลายเป็นที่ราบหินภูเขาไฟไร้สิ่งมีชีวิต ชีวิตก็หาทางกลับมาที่นี่ในช่วงเวลาเหลือเฟือเกือบ 1200 ปี ทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม มอส และสัตว์น้อยใหญ่ต่างๆอย่างแมลง หนู ตุ่น กระรอก และนกชนิดต่างๆ ก็กลับมายังที่แห่งนี้ครับ
พืชพรรณสมบูรณ์งดงามที่ดูราวกับมีชีวิต
เนื่องจากที่นี่มีดินลึกไม่ถึงหนึ่งนิ้วเหนือชั้นหินภูเขาไฟ พุ่มไม้และต้นไม้ต่างๆก็ต้องหยั่งรากไปในแนวนอนแทน ทำให้รากไม้เลื้อยไปมาตามพื้นหินราวกับต้นไม้กำลังจะคลานไปที่ไหนสักแห่ง เนื่องจากไม่มีที่ให้หยั่งรากลึก ต้นไม้ทั้งหลายจึงสามารถเติบโตจากขึ้นดินระหว่างรากของต้นไม้ต้นอื่น ทำให้เบียดเสียดแก่งแย่งพื้นที่กันในระยะประชิด กลายเป็นป่าทึบ นี้เองที่เป็นที่มาของชื่อเล่น "ทะเลป่า" (樹海 จุไค) ครับ
ถ้ำแปลกประหลาดทั้งสามแห่ง
การเย็นตัวจับเป็นชั้นหินของลาวายังก่อให้เกิดถ้ำงดงามอีกเสียด้วย ถ้ำค้างคาวทะเลสาบไซโกะ (西湖蝙蝠穴 ไซโกะโคโมริอานะ ไม่เกี่ยวข้องกับแบตแมนแต่อย่างใด) เป็นถ้ำความยาว 350 เมตรที่มีอุณหภูมิอบอุ่นตลอดปีจนมีค้างคาวมาจำศีลในฤดูหนาวเป็นจำนวนมาก ถ้ำลมฟุกาคุ (富岳風穴 ฟุกาคุฟูเก็ตสึ) มีอุณหภูมิเฉลี่ย 3 องศา ความยาวประมาณ 201 เมตร ในสมัยก่อนใช้เป็นเหมือนตู้เย็นเก็บพืชพรรณหรือหนอนไหมหายาก ผนังถ้ำยังเป็นหินบะซอลต์ที่ดูดซับเสียง เสียงในถ้ำจึงแทบไม่เกิดเสียงสะท้อนใดๆเลยครับ และสุดท้าย ถ้ำน้ำแข็งนารุซาว่า (鳴沢氷穴 นารุซาวะเฮียวเก็ตสึ) ถ้ำขนาดยาว 153 เมตร มีเสาน้ำแข็งตลอดปี มีอุณหภูมิหนาวเย็นแม้แต่ในหน้าร้อน
ปรากฏการณ์ธรรมชาติแสนพิศดาร
เนื่องจากความแปลกทางภูมิประเทศและพืชพรรณ เรื่องแปลกต่างๆก็เกิดขึ้นที่ป่าอาโอคิกาฮาระแห่งนี้ครับ
สนามแม่เหล็กที่รบกวนอุปกรณ์เครื่องจักร... ไปจนถึงจิตใจ
แม้ว่าที่นี่จะถูกเล่าในเรื่องราวหรือการ์ตูนมังงะต่างๆว่า เข็มทิศจะไม่ทำงาน แท้จริงแล้วเรื่องเหล่านั้นถูกต้องเพียงครึ่งเดียวครับ ถ้าวางเข็มทิศลงบนหินภูเขาไฟตรงๆ เข็มก็จะชี้ไปตามสนามแม่เหล็กของหินแทนครับ แต่ถ้าหยิบขึ้นมาระดับปกติ เข็มทิศก็ทำงานได้อย่างปกติไม่มีปัญหาครับ
มีรายงานบ้างว่าสนามแม่เหล็กรบกวนสัญญาณโทรศัพท์บ้าง ทำให้เกิดภาพแปลกๆในกล้องวิดีโอบ้าง สัตว์เล็กๆอย่างนกและแมลงบางจำพวกที่ใช้สนามแม่เหล็กโลกนำทางก็หลีกเลี่ยงป่านี้ครับ เนื่องจากสนามแม่เหล็กในหินภูเขาไฟรบกวนประสาทสัมผัสแม่เหล็กโลกของสัตว์เหล่านั้น สำหรับในมนุษย์เองนั้น บางก็มีรายงานถึงการเห็น ”ภาพหลอน” แต่ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่า นั่นเป็นผลมาจากสนามแม่เหล็กหรือฝีมือของยูเร (幽霊 วิญญาณ) กันแน่…
เงียบสงัดจนได้ยินเสียงกระซิบ
เนื่องจากพื้นข้างล่างถูกปกคลุมไปด้วยรากและหิน แทบจะไม่มีดินเลย จึงยากแก่การเดินและการเจาะด้วยรองเท้าหรือไม้ปีนเขา หินนั้นยังเป็นหินบะซอลต์ ดังนั้นเสียงฝีเท้าเวลาเดินจึงถูกดูดหายไปเลยครับ ที่นี่จึงเงียบสงัดวิเวกวังเวง แต่ถึงกระนั้น เสียงที่เดินทางผ่านอากาศก็ยิ่งสามารถได้ยินชัดเจนเพราะเสียงจากพื้นดินไม่มารบกวนครับ
ต้นกำเนิดของตำนานอันเลื่องชื่อ
ก่อนที่ยูทูบเบอร์รายหนึ่งจะเผยแพร่เรื่องราวของอาโอคิกาฮาระให้โลกได้รับรู้เมื่อต้นปี 2561 (ค.ศ. 2018) ที่ผ่านมานี้ ที่นี่ก็มีเรื่องเล่าและตำนานที่เกี่ยวข้องกับความตายมาแต่ครั้งอดีตแล้วครับ
ที่อยู่ของภูติผีวิญญาณ
เนื่องจากปรากฏการณ์แปลกพิสดารก่อนจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มาเฉลย คนญี่ปุ่นในสมัยก่อนก็เชื่อว่า ปรากฏการณ์เหล่านั้นเกิดจากน้ำมือของวิญญาณ (幽霊 ยูเร) ที่สิงสถิตคอยหลอกหลอนที่นี่กันครับ
ในสมัยก่อนช่วงยุคข้าวยากหมากแพงหรือขาดแคลนอาหาร มีการกระทำที่เรียกว่า อุบาสึเตะ (姥捨て การนำผู้สูงอายุไปทิ้งไว้ในป่า) เกิดขึ้นเป็นพักๆ เนื่องจากที่ป่านี้มีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแปลกๆมากมาย การจะหลงทางกลับไม่ได้ อดอาหารจนตาย โดยสัตว์ป่ากัดกินหรือกินอาหารมีพิษตายก็เกิดขึ้นได้โดยง่าย แม้ในปัจจุบันก็ยังมีคนญี่ปุ่นบางส่วนที่เชื่อว่า วิญญาณที่สิงอยู่ในป่านี้เป็นวิญญาณของผู้ที่ถูกทิ้งให้ตายอยู่นั่นเอง
ภาพลักษณ์ที่เกิดจากวรรณกรรมและตำนานสมัยใหม่ต่างๆ
ในปีพ.ศ. 2504 เซโจ มัตสึโมโต้ (松本 清張) ได้ตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง นามิโนะโต (波の塔 หอคอยแห่งคลื่น) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคู่รักที่เจอความทุกข์ยากมากมายจนสุดท้ายก็ตัดสินใจไปที่ป่าอาโอคิกาฮาระในตอนจบของเรื่อง นอกจากนี้ ยังมีการ์ตูนมังงะอีกหลายเรื่องที่สร้างภาพป่าอาโอคิกาฮาระให้เป็นป่าแห่งความตายที่เข้าไปแล้วต้องหลง (เข็มทิศไม่ทำงาน ไม่มีสัตว์เลยสักตัว พืชพรรณต่างๆมีพิษ) ยังมีเกมญี่ปุ่นบางเกมที่มีด่านคล้ายๆป่าอาโอคิกาฮาระแห่งนี้ด้วย ทั้งนี้ยังมีเรื่องเล่าและตำนานร่วมสมัยจากปากคำของผู้รอดชีวิตหรือคนรู้จักว่า มีวิญญาณ (幽霊 ยูเร) หรือผีป่า (妖怪 โยไค) คอยหลอกล่อให้คนหลงเข้าป่าไป... แต่ฟังแล้วคล้ายๆกับจะมีแม่มดมนต์ดำคอยร่ายมนต์สะกดนำคนไปสังเวยเพื่อคงความสาวของตนไว้ยังไงยังงั้นเลยครับ!
ผู้มาเยือนสามประเภท
มีคนอยู่สามประเภทที่เขามาเยี่ยมเยือนป่าอาโอคิกาฮาระแห่งนี้ ประเภทแรกคือผู้ที่มาเดินป่าหาความงดงามตามธรรมชาติของแนวป่าที่อุดมสมบูรณ์และถ้ำต่างๆ ประเภทที่สองคือนักผจญภัยหรือนักหาสมบัติที่มาหาความตื่นเต้นเร้าใจจากความสยองหรือศพคนตาย หรือมาหาของใช้ที่ผู้ตายนำติดตัวมาหรือทิ้งไว้ ในนี้ก็ยังมีอาสาสมัครที่มาล้างป่าช้าประจำปีด้วย ความเงียบสงัดวิเวกวังเวงตัดขาดจากโลกภายนอกยังเหมาะแก่การทำสมาธิเพื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ควรทำต่อไปสำหรับผู้ที่ต้องการหลบหนีจากชีวิตที่แสนวุ่นวาย ซึ่งก็คือคนประเภทที่สามนั่นเอง แต่จากในผู้มาเยือนทั้งสามประเภทนั้น ก็มีบางส่วนที่หลงหายไปไม่กลับมาครับ ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือจงใจก็ตาม
แม้ว่าคนตายไม่อาจนำเรื่องมาเล่าได้ แต่ผู้ที่ได้ย่างกรายเข้าไปและรอดชีวิตกลับมาก็มีเรื่องราวน่าฉงนมาเล่าสู่กันฟัง ไม่แน่ว่าอาจจะมีร่องรอยคำใบ้อะไรที่จะนำไปสู่เรื่องราวที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ก็เป็นได้... เราจะมาตรวจสอบเรื่องราวเหล่านี้กัน ในคราวต่อไปครับ!
Comments