(รูป) ไร่ชาในคามาคุระที่ปลูกเป็นแถวยาวอย่างเป็นระเบียบ ปลายยอดถูกเล็มไว้เป็นพุ่มอย่างสวยงาม
ชาเขียวญี่ปุ่นที่ถูกขายตามท้องตลาดมีอยู่หลากหลายชนิดให้ท่านเลือกซื้อ หากท่านอยากจะลิ้มลองรสชาติของชาเขียวตามแบบฉบับญี่ปุ่นท่านสามารถหาซื้อชาเขียวญี่ปุ่นได้ที่ห้างสรรพสินค้าหรือร้านสินค้านำเข้า ทว่าในบรรดาชาเขียวเองก็มีการจัดอันดับคุณภาพของชา ชาที่ปลูกในจังหวัดชิสุโอกะหรือดินแดนที่เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจินั้นเป็นแหล่งปลูกชาอันเลื่องชื่อ และชาเขียวที่ถูกผลิตขึ้นในชิสุโอกะก็ถูกจัดอยู่ในระดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น
(รูป) ไร่ชาในจังหวัดฟุคุโอกะทางตอนใต้ของญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นปลูกชาเขียวเป็นส่วนใหญ่ซึ่งชาเขียวก็ถูกแยกย่อยอีกเป็นหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีลักษณะและรสชาติที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับขั้นตอนการปลูกและกระบวนการผลิต ชาเขียวที่เป็นที่นิยมกันมี 4 ชนิดคือ
1. เซ็นฉะ (Sencha) เป็นชาเขียวที่รักษารสชาติดั้งเดิมไว้ได้มากที่สุด เซ็นฉะจะมีรสชาติขมเล็กน้อย ใบชาจะไหม้ได้ง่ายหากน้ำร้อนเกินไป สีของชาจะมีสีเขียวสด
2. โฮจิฉะ (Hojicha) ชาเขียวชนิดนี้จะภูกคั่วจนกระทั่งใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล โฮจิฉะจะมีกลิ่นที่หอมและรสชาติหวานเล็กน้อย สีของน้ำชาจะมีสีน้ำตาลแกมเหลือง
3. เกนไมฉะ (Genmaicha) เก็นไมฉะเป็นการผสมกันของชาเขียว 2 ชนิดแรกคือ มีการใส่ข้าวกล้องลงไปคั่วกับเซ็นฉะ ชาเขียวเก็นไมฉะมีคาเฟอีนต่ำจึงเหมาะสำหรับผู้ดื่มที่หลีกเลี่ยงคาเฟอีน
4. มัทฉะ (Matcha) มัทฉะถูกใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่น มัทฉะถูกผลิตขึ้นโดยการนำใบชาเขียวมาบดละเอียดจนเป็นผง มัทฉะมีรสชาติที่ขมจึงมักใส่เพียงเล็กน้อยในการชงชา และมักทานคู่กับขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่น
(รูป) ด้วยความเรียบง่ายและสง่างาม มัทฉะจึงถูกยกย่องให้เป็นราชาชาเขียว
ท่านสามารถเพลิดเพลินผ่อนคลายกับชาเขียวได้ด้วยการจิบชาพักผ่อนยามบ่าย เข้าพิธีชงชาหรือจะเลือกเดินเล่นชมวิวริมไร่ชาก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ หากท่านมีโอกาสได้มาเยือนที่ญี่ปุ่น ขอให้ท่านได้ลองสัมผัสรสชาติความเป็นญี่ปุ่นนี้สักครั้ง ท่านสามารถเลือกจิบชาเขียวกับอาหาร หรือจะเลือกจิบมัทฉะคู่กับของหวานอย่างขนมเค้กหรือคิทแคทก็ทำให้ท่านผ่อนคลายได้ไม่แพ้กัน รับรองว่าท่านจะหลงรักชาเขียวแน่นอน!
Comments