เมืองนาราเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของนักเดินทางทั่วโลก เป็นเมืองทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยมีสถานที่สำคัญคือวัดโทไดจิอันสวยงามอลังกาล อีกทั้งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาที่นี่ได้อย่างง่ายดายทั้งจากเกียวโตและโอซาก้า
เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองสำคัญๆของญี่ปุ่นแล้ว นาราเป็นเมืองที่ผู้คนสามารถมาใช้เวลาท่องเที่ยวได้อย่างสโลว์ไลฟ์และผ่อนคลาย คุณสามารถเดินเที่ยวฃมรอบๆเมืองหรือจะเดินไปตามตรอกซอกซอยก็ย่อมได้
การเดินทางมาจังหวัดนารา:
โดยเครื่องบิน:
สนามบินที่อยู่ใกล้เมืองนาราที่สุดคือสนามบิน Kansai International Airport และ Itami Airport ที่อยู่ในโอซาก้า หากคุณบินมาจากต่างประเทศให้ไปลงที่สนามบินคันไซจะสะดวกกว่า แต่ถ้าหากเดินทางภายในประเทศนั้น ให้ลงที่สนามบิน Itami ค่ะ สำหรับใครที่มาลงเครื่องที่สนามบินคันไซ ก็สามารถใช้บริการ airport bus เพื่อไปยังเมืองนาราได้ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดนมีค่าโดยสาร 2,050, เยน หรือถ้าคุณเดินทางจากสนามบิน Itami ก็สามารถใช้บริการ airport bus ได้เช่นกัน โดยจะมีค่าบริการ 1,480 เยน
โดยรถไฟ:
หากคุณเดินทางจากเกียวโต ก็สามารถใช้บริการรถไฟ JR สาย Nara หรือสาย Kintetsu Kyoto ได้ ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางตั้งแต่ 30 นาที จนถึง 1 ชั่วโมง โดยค่าโดยสารจะมีราคา 620 เยน ถึง 1000 เยน
โดยรถบัส:
การเดินทางด้วยรถบัสในนารานั้นง่ายและสะดวก เพราะที่นี่มีระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
หากคุณเดินทางมาจากโตเกียว ก็สามารถใช้บริการ JR bus ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทาง 7-8 ชั่วโมงเพื่อไปถึงนารา JR bus มีด้วยกันหลายสาย ทั้ง Seishun บัสและแบบมาตรฐาน นอกจากนั้นยังมีบัสแบบ Premium อีกด้วย ค่าโดยสารจะมีราคาประมาณ 3,500เยนไปจนถึง 7,000เยน
อีกตัวเลือกหนึ่งในการเดินทางจากโตเกียวคือการใช้บริการ Yamato bus ซึ่งจะวิ่งตรงสู้เมืองนารา โดยมีค่าบริการ 8,400 เยน
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ:
Nara-kun:
Nara-kun เป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นของสวนนารา ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดของเมืองเลยก็ว่าได้ สิ่งสำคัญที่เป็นเครื่องดึงดูดผู้คนจากทั่วสาระทิศก็คือเจ้ากวางน่ารักๆกว่าพันตัวที่อาศัยอยู่ที่นี่ ชาวนารามีความเชื่อว่ากวางคือสัตว์ที่ถูกส่งมาโดยพระเจ้า นอกจากจะมาเล่นและให้อาหารกวางแล้ว สวนสวยแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่สีเขียว ที่คุณสามารถมาใช้เวลาผ่อนคลายความล้าหลังจากที่ได้พบเจอกับความวุ่นวายในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวได้ดีทีเดียวหละค่ะ
วัดโทไดจิ
วัดโทไดจิตั้งอยู่ในสวนนารา ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกขนานนามว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ด้านใน ว่ากันว่าเป็นพรุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าวัดโทไดจิแห่งนี้ได้รับการลงทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกและเป็นสมบัติอันล้ำค่าของประเทศญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นหากได้มาญี่ปุ่นแล้ว อย่าลืมจองตั๋วแวะมานมะสการพระพุทธรูปและชมความงามของวัดกันที่เมืองนารานะคะ
เขตNaramchi
เป็นเขตเมืองเก่าของนารา ที่ยังคงรักษาสภาพอาคารและบรรยากาศแบบโบราณๆไว้อยู่ ที่นี่ยังเป็นแหล่งของร้านอาหารบาร์ที่จะมีที่นั่งแบบ outdoor ให้คุณได้ซึบซับบรรยากาศโบราณดั้งเดิมได้เต็มที่
ชอปปิ้งและDuty Free
Sanjo-dori Avenue:จังหวัดนาราเป็นแหล่งผลิตแปรงเขียน calligraphy หรือ narafude ที่ขึ้นชื่อ หากคุณอยากได้แปรงนี้ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝาก ก็ขอแนะนำให้ลองแวะเวียนไปที่ Sanjo-dori Avenue ที่นี่เป็นศูนย์รวมอุปกรณ์งานศิลปะที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของเมือง ร้านค้าหลายๆร้านที่นี่ยังจำหน่ายแปรงที่ทำจากขนสัตว์อีกด้วย
ถนนช้อปปิ้ง Mochiidono:ถนนช้อปปิ้ง Mochiidono Shopping Street เป็นแหล่งที่คุณสามารถมามองหา sarashi หรือผ้าพื้นเมืองของที่นี่ได้ ผ้า sarashi คือผ้าที่ถักทอจากพืชด้วยวิธีการที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัย Edo ชาวเมืองนาราได้ดัดแปลงจากผ้าธรรมดา เป็นทอให้เป็นผ้าขนหนู ผ้าม่าน ม่านบังตา และผ้าเช็ดหน้า ซึ่งคุณสามารถหยิบติดไม้ติดมือไปเป็นของฝากได้
ถนนช้อปปิ้ง Higashimuki
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งถนนที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนารา เป็นสถานที่ทีคุณสามารถเพลิดเพลินกับการฃ้อปปิ้งได้แม้ในวันฝนตก สองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก รวมไปถึงร้านเสื้อผ้าแฟชั่นและร้านอาหารที่เรียงรายละลานตา
เดินทางแบบประหยัด:
หากคุณมีแพลนที่จะเที่ยวเกียวโต นารา และโอซาก้า เราขอแนะนำให้คุณซื้อตั๋ว Kansai thru-pass ซึ่งจะเป็นตั๋วสำหรับการเดินทาง 2-3 วันที่คุณสามารถใช้บริการได้ทั้งรถไฟ รถบัส และใต้ดินทั่วภูมิภาคคันไซ ซึ่งจะช่วยคุณประหยัดไปได้อีกเยอะเลยทีเดียว
ช่วงเวลาที่แนะนำในการมาท่องเที่ยว:
จังหวัดนาราเป็นเมืองที่คุณสามารถมาเที่ยวได้ทั้งปี แต่ช่วงที่สวยงามที่สุดคือฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง หากคุณอยากถ่ายภาพสวยๆของซากุระสีฃมพูสะพรั่ง ก็แนะนำให้มาที่นี่ในเดือนเมษายนจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม หรือถ้าหากอยากเห็นใบไม้เปลี่ยนเป็นสีส้มสีเหลืองก็ให้มาช่วงเดือนตุลาคนจนถึงพฤศจิกายน ซึ่งก็คือช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั่นเอง สำหรับในช่วงฤดูร้อนที่นี่ก็จะค่อนข้างร้อนและมีความชื้นสูง หากคุณไม่ชอบอากาศร้อนสักเท่าไร เราก็ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงช่วงฤดูร้อนค่ะ
Comments