เดือนกุมภาพันธ์ สำหรับประเทศที่ไม่ค่อยมีวันสำคัญอื่น เดือนนี้คงเป็นเดือนแห่งความรักนะครับ แต่ที่ญี่ปุ่นนั้นมีทั้งวันเซ็ตสึบุน วันรำลึกการสถาปนาประเทศ วันแมว วันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระจักรพรรดิ เดือนนี้จึงมีอะไรหลากหลายเลยครับ
แต่ไหน ๆ ผู้เขียนก็คนไทย แถมเขียนให้คนไทยอ่าน งั้นเดือนนี้เอาเรื่องเกี่ยวกับความรักมาลงก็แล้วกันครับ ส่วนจะเป็นแนวสยองหรือลี้ลับ เห็นชื่อเรื่องก็อาจจะพอเดากันได้ ลองอ่านกันเลยครับ!
เรื่อง ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดหัวใจสมัยม.ปลาย...
ไม่รู้จะเรียกว่าเรื่องน่ากลัวได้รึป่าวนะครับ แต่สำหรับผมแล้ว มันคือเรื่องแสนเศร้าครับ…
สมัยที่ผมยังอยู่ม. ปลายตอนที่กำลังเล่นเกมแข่งรถอยู่กับเพื่อนร่วมชื่อ K ในเกมเซนเตอร์ขนาดใหญ่แห่งนึง (เป็นเครื่องเล่นแข่งกัน 4 คน) จู่ ๆ ก็มีสาวสองคนมานั่งเครื่องข้าง ๆ แล้วถามว่า “ขอเล่นด้วยได้มั้ยคะ”
ผมก็ตกใจเพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ก็เล่นเกมด้วยกันไปครับ
พอเกมนี้จบ ทีแรกก็ไม่ได้กะจะจีบ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็เข้าโหมดจีบซะงั้น พากันไปร้องเกะต่อจนสนิทกันมากขึ้น แถมทางกลับบ้านก็ทางเดียวกันอีก เลยแลกเบอร์ PCT ไว้เผื่อชวนไปเที่ยวเล่นด้วยกันอีก แล้วก็กลับบ้านไปครับ
วันถัดมา K ก็มาปรึกษาว่า “กูชอบสาวคนเมื่อวานเข้าแล้วว่ะ”
ตัวผมเองก็ไม่ต่างกัน เลยรีบโทรหา คุยประมาณว่า “เลิกเรียนแล้วออกไปเจอกันอีกเถอะ!” ทุกอย่างไปได้สวย จนแทบจะเจอกันทุกวันเลยครับ
จริง ๆ แล้วช่วงที่ผมเริ่มคบกับสาวคนที่หมายตา K ก็กำลังเริ่มไปได้สวยเหมือนกัน เลยไปเจอกันสองต่อสองซะมากกว่าจะไปกันเป็นกลุ่ม 4 คนครับ แต่ละวันก็สนุกเอามาก ๆ เลย!
มีครั้งนึงก็นัดกันไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน 4 คน
รอกันอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็มีเมลมาจากสาวของ K ว่า “พวกเราไปไม่ได้” เข้ามาครับ
ยังไม่รู้เหตุผลว่าทำไม ทางผมเลยลองโทรไปหาสาวบ้าง แต่กลับเจอเสียงตอบรับว่า “ขอโทษค่ะ หมายเลขนี้ยังไม่เปิดให้บริการ” ผมสองคนก็ขวัญหนีดีฝ่อร้อง “เฮ้ย” กันเลยครับ!
ก็ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทียังส่งเมลหากันอยู่เลย จู่ ๆ กลายเป็นหมายเลขที่ยังไม่เปิดให้บริการเฉย!
เจอแบบนี้ก็ผวาสิครับ…
จากนั้น K ก็ลองโทรเข้าเบอร์บ้านที่เคยขอไว้เผื่อติดต่อฉุกเฉิน พ่อของฝ่ายโน้นก็มารับสาย พอบอกไปว่า “ผมชื่อ K เป็นเพื่อนของ ⭕️⭕️ ครับ พอดีติดต่อไปเบอร์ PCT ไม่ได้…” แต่เหมือนว่าจู่ ๆ พ่อฝ่ายโน้นก็โกรธขึ้นมา K ได้แต่ทำสีหน้าลำบากใจ แล้วก็สีหน้าแย่ขึ้นเรื่อย ๆ “ตะ แต่พวกผม…” จู่ ๆ K ก็เล่าเรื่องราวตั้งแต่การเจอกันไปจนถึงความสัมพันธ์ให้พ่อเขาฟัง
ผมก็คิดว่า มันแปลก ๆ นะ แต่ก็รอจนโทรเสร็จ พอถามเรื่องราว ก็กลับกลายเป็นว่า ทั้งแฟนผม ทั้งสาวของ K ประสบอุบัติเหตุทางน้ำเสียชีวิตไปเมื่อสองเดือนก่อนครับ
ทั้งผมทั้ง K ต่างก็ยังไม่อยากเชื่อเรื่องที่ได้ฟังมาเต็มสองหู เลยตัดสินใจไปยังที่อยู่ที่ถามมาไว้ระหว่างที่คุยโทรศัพท์ครับ
แล้วก็ไปที่บ้านแฟนผมด้วย
พวกเธอไม่อยู่แล้วจริง ๆ
เสียไป 1 เดือนก่อนที่พวกเราจะมารู้จักกันอีกครับ…
ตอนที่ไปบ้านแฟน ผมเอาประวัติการโทรและเมลใน PCT ของผมให้แม่แฟนดู แม่แฟนก็ร้องไห้ตอนที่ดูเมลฉบับสุดท้าย และบอกมาว่า “วันนั้นน่ะ เป็นวันที่แม่ไปยกเลิกเบอร์ล่ะ”
ผมเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เหมือนกันครับ
ไม่มีความรู้สึกกลัวเลยสักนิด มันเจ็บปวดทรมานมากกว่า…
ผมกับ K สองคนไปยังที่เกิดเหตุที่พวกเธอเสียชีวิตกัน เราทั้งคู่ได้แต่ร้องไห้ไม่พูดอะไรกันสักคำครับ
แฟนผมพอมีเรื่องอะไรก็ร้องไห้ให้เห็น มีหึงมีหวง ยิ่งลองย้อนมานึกเอาตอนนี้ ยิ่งรู้เลยว่าตอนนั้นผมชอบเธอมาก…
พวกเราก็จูงมือกันเหมือนคู่รักทั่วไป จูบกันก็หลายครั้ง
เป็นเหมือนคู่รักธรรมดาคู่นึงจริง ๆ เลยครับ
อยากรู้จักกับเธอให้เร็วกว่านี้ ที่ไม่ใช่ในรูปแบบนี้…
นี้คือเรื่องแปลก ๆ ที่ผมกับ K ได้ประสบพบเจอมากันสองคนครับ
และก็เป็นความทรงจำอันล้ำค่าสมัยม.ปลายด้วย…
ไม่ค่อยน่ากลัวเลยสินะครับ
แต่ผมก็ไม่เคยเจอเรื่องแปลก ๆ อะไรนอกจากเรื่องนี้แล้วครับ
เรื่องก็มีประมาณนี้ครับ
---------------------------
“เราเจอกันช้าไป” คงเป็นคำพูดที่ปวดใจไม่ว่าจะในกรณีไหนนะครับ แต่แบบนี้มันปวดใจมากที่สุดแล้วครับ เพราะไม่ได้มีใครนอกใจหรือมีใครอื่น แต่อยู่กันคนละโลกจึงไม่อาจเจอกันได้อีก…
หรือเพราะหมายเลข PCT โดยยกเลิกเลยติดต่อกันอีกไม่ได้ละเนี่ย…
แล้วช่วง 1 เดือนที่คบกัน เจ้าของเรื่องจับมือใคร จูบกับใครล่ะครับเนี่ย ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองเห็นเธอสองคนมั้ย หรือเห็นเขาคุยกับอากาศ… บรื๋อ~
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนจะยกเลิกหมายเลขโทรศัพท์ ถามเจ้าของหมายเลขก่อนด้วย! /ผิด
เรื่อง กินจุ
สมาชิกชมรมทุกคนตัดสินใจจะไปเที่ยวไกล ๆ กัน โดยจุดนัดพบคือที่หน้าสถานี คิดว่าเพราะมีสมาชิกคนนึงได้เงินจากพ่อแม่มาถอยรถมินิแวนป้ายแดงครับ
แต่คนที่มาตรงตามเวลานัด กลับมีแค่ผมกับ Y แค่เพียงสองคนเท่านั้นครับ
เนื่องจากมีแค่ผมกับ Y ที่บ้านอยู่ใกล้กับสถานีพอดี เลยมาจุดนัดพบได้ก่อนคนอื่น แต่คนที่เหลือนั่งรถแวนกันมา เห็นว่าเจอรถติดเข้า กว่าจะมาถึงเลยต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ครับ
ช่วยไม่ได้ พวกผมสองคนเลยไปหานั่งร้านอาหารแนวแฟมิลี่รอคนอื่น ๆ กัน
อ้อ Y นี่เป็นสมาชิกที่เพิ่งเข้าชมรมมาใหม่ ๆ เลยเป็นคนที่ผมยังไม่ค่อยได้พูดคุยมากเท่าไหร่ครับ
จริง ๆ ก็แอบประหม่า แต่ Y ก็เป็นตามที่ได้ยินมาครับ เป็นคนคุยง่าย อัธยาศัยดี ผมเลยเริ่มคุยได้อย่างสบายใจมากขึ้นครับ
พวกผมเริ่มละลายพฤติกรรม คุยเรื่องสัพเพเหระกันอย่างสนุกสนาน จนเวลาผ่านไป 30 นาที ก็เลยลองติดต่อไปหาเพื่อนชมรมที่ยังมาไม่ถึงสักที ก็ได้ความว่า ตอนนี้รถติดหนัก คงต้องใช้เวลาอีก 1-2 ชั่วโมงครับ
แต่ก็นะ รออีกสักหน่อยก็คงมารับขึ้นรถอยู่ดี พวกผมเลยไม่ได้ซีเรียสอะไรกัน
“ไหน ๆ ก็ท้องว่างขึ้นมานิดหน่อยแล้ว หาอะไรเบา ๆ กินกันมั้ย?” พวกผมคุยกัน แล้วก็เริ่มสั่งอาหาร
แต่ของที่ Y สั่ง มันมากมายเหนือจินตนาการของผมเลย คือสั่งเยอะแบบคน 4-5 คนกินจนอิ่มแปล้ได้เลยครับ
“เฮ้ย โคตรสุดเลยว่ะ นี่กินคนเดียวได้เยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ผมถาม
“อ้อ กูเป็นพวกกินจุน่ะ แค่นี้จิ๊บ ๆ” Y ตอบพร้อมยิ้มแบบยิงฟันกลับมา
ตอนที่ผมเห็นฟันของ Y ผมก็ เฮ้ย ไปแป๊บนึงครับ
เพราะที่บริเวณโคนรากฟันของ Y เป็นสีดำสนิทเลยครับ
“อ้อ สงสัยจะสูบบุหรี่จัด ไม่ก็เป็นแมงกินฟันมั้ง? แต่จะยังไงก็ดูสกปรกอยู่ดี” ผมแอบคิด
สักพักของที่สั่งก็มาเรียงบนโต๊ะทีละอย่างจนครบ
แล้ว Y ก็จัดการกินทีละอย่างอย่างเอร็ดอร่อยครับ
กินแบบน่าเอร็ดอร่อยมาก จนผมแอบเผลอดูอย่างลุ้นไปด้วย
แต่เจ้าตัวก็ผอมแห้ง ร่างบาง ผมเริ่มเลยแปลกใจว่ารักษาหุ่นได้ยังไงทั้ง ๆ ที่กินเยอะขนาดนั้น
ผมเลยถามไปว่า
“กินเยอะขนาดนั้นแต่ก็ไม่อ้วนเลยนะ”
Y ตอบกลับมาว่า
“จริง ๆ เมื่อก่อนกูก็ไม่ได้กินเยอะขนาดนี้หรอกว่ะ แต่มันมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้กินเยอะได้แบบนี้ขึ้นมาน่ะ” พร้อมส่งสายตาเหมือนอยากจะพูดอะไรมาที่ผม
“เหรอ แล้วได้เรื่องบางอย่างที่ว่านี่ มันเรื่องอะไรเหรอ?” ผมซึ่งได้ฟังจนเกิดความสนใจก็อยากจะฟังเรื่องราวจาก Y ดูครับ
“ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ ไม่ค่อยอยากเล่าตอนกินข้าวอยู่น่ะ”
แต่ถึง Y จะบอกว่าอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็
“แต่ตอนนี้ก็อยู่กันแค่สองคน มา เล่าก็เล่า” แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องของเขาครับ
“กูน่ะ เมื่อก่อนเป็นคนกินน้อยนะ แต่ก็ไม่ใช่ไม่กินอะไรเลยนะ
ก็ขนมปัง 2 แผ่น วันนึง 2 มื้อก็อยู่แล้ว”
แล้วที่ Y ที่เคยกินน้อยต้องเปลี่ยนไปนั้น ก็เกี่ยวข้องกับแฟนเก่าที่เคยคบกันครับ
ก็อยู่หอกับแฟนที่ช่วงแรก ๆ ก็น่ารักดี แต่หลัง ๆ มาเรื่องเริ่มเยอะ วันนึงส่งเมล์มาหลายสิบฉบับ ถ้าไม่ตอบทันทีก็มีอารมณ์ขึ้น กลายเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วน่าปวดหัวมาก
และความเรื่องเยอะของแฟนก็ยิ่งมากขึ้นทุกวัน
ตอนอยู่ที่บ้าน พอบอกว่า “จะไปห้องน้ำ” แล้วขอตัวไป ก็ตามมารอที่หน้าห้องน้ำเลย
เริ่มคบกันมาแค่ 2 เดือน ไฟก็มอด พอเกิดเรื่องขึ้นอีกฝ่ายชายเลยพูดไปว่า
“ถ้าจะจุ้นจ้านมากไปกว่านี้ เลิกกันดีกว่ามั้ย”
ส่วนแฟนสาวก็บอกว่า
“ไม่มีทาง!”
ทำยังไงก็ไม่ยอมรับข้อตกลง ช่วยไม่ได้ ทาง Y เลยพยายามให้แฟนสาวถอดใจจากเขา เลยลองเป็นฝ่ายตีตัวออกห่างดู
แต่แฟนสาวก็ยังไม่ยอมแพ้ ทำอาหารอย่างสุดฝีมือยิ่งกว่าที่เคยทำ ความยุ่มย่ามที่เคยมีก็ค่อย ๆ น้อยลง เอาจริงเอาจังเพื่อไม่ให้ Y ถอดใจออกห่าง
แต่ Y ที่ได้เคยหมดไฟไปแล้วครั้งหนึ่ง จะติดไฟที่ดับไปแล้วขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นไปไม่ได้
ผ่านไปอีก 2 เดือน แฟนสาวก็ยินยอมที่จะเลิกกัน
“เอาจริง ๆ ตอนนั้นโล่งอกสุด ๆ เลย
เพราะเจ้าตัวเคยพูดว่า ถ้าเลิกกัน จะฆ่ากู แล้วก็จะตายตามไปน่ะ
แต่ก็แอบสงสัยนะ ทำไมจู่ ๆ ถึงยอมเลิกแต่โดยดี
เรื่องนี้แหละที่ทำให้กูแปลกใจที่สุด”
พูดจบ Y ก็คว้าเฟรนช์ฟรายด์เข้าปาก กินอย่างเอร็ดอร่อยต่อ
“แล้ว เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่องที่กินจุยังไงวะ?”
รู้สึกเหมือนจงใจละตอนสำคัญอะไรไปสักอย่าง ผมเลยถามออกไป
“อืม นั่นก็เพราะ ยัยนั่นน่ะ ไม่ได้คิดที่จะแยกจากกูเลยสักนิดน่ะสิ”
Y พูดด้วยสีหน้าอันเบื่อหน่าย
หลังจากเลิกกันไปประมาณ 1 สัปดาห์ ก็มีเบอร์ที่ไม่เคยเห็นโทรเข้ามาที่เครื่องของ Y
จากปลายสาย ได้ความว่า แฟนของ Y นั่นตัดสินใจฆ่าตัวตายทันทีที่เลิกกับ Y
เห็นว่ากระโดดจากดาดฟ้าของแมนชั่นที่เธออยู่
แล้วแม่ของเธอก็โทรมาหา Y ตามที่เล่าไปครับ
ดูเหมือนว่า ในจดหมายลาตายของเธอได้เขียนไว้ว่า
“ถ้าหนูตายไป ช่วยเอาไดอารี่ของหนูไปให้แฟนหนูที”
และก็เขียนเบอร์ติดต่อไว้ให้ด้วย
“จริง ๆ กูก็ไม่อยากหรอกนะ แต่จะปฏิเสธก็กะไรอยู่”
แล้วในไดอารี่ที่มาถึงมือ Y ก็มีการเขียนไว้มากมายว่า ชอบ Y มากแค่ไหนเอย ไม่มี Y ก็อยู่ไม่ได้เอย
แต่นับจากวันหนึ่งเป็นต้นมา เนื้อหาที่เขียนก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดใจ
“ยัยนั่นน่ะ เอาส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเอง ใส่ในอาหารที่ทำให้กูทีละนิดทีละหน่อยว่ะ
เล็บเอย ผมเอย เลือดเอย อะไรงี้”
ในไดอารี่ เขียนไว้ว่า
“วันนี้ ใส่เส้นผมที่หั่นละเอียดลงในข้าวแกงกะหรี่” เอย
“ใส่เลือดผสมลงในเสต็ก” เอย อะไรทำนองนี้
นับตั้งแต่วันที่บอกว่าจะเลิกกันเป็นต้นมา
หน้าสุดท้ายเขียนไว้ว่า
“เท่านี้ เราก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้ว”
“กูนี่โคตรโง่เลยว่ะ ก็รู้นะว่ารสชาติมันแปลก ๆ ไป แต่อาหารก็โคตรหรู เลยไม่ได้สังเกตอะไรเลย”
แล้ว Y ก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้และเล่าต่อ
“ตั้งแต่ยัยนั่นตายไปนั่นแหละ ที่กูกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที
หรือว่าในตัวกู มียัยนั่นแฝงอยู่ก็ไม่รู้นะ”
Y พูดแล้วก็หัวเราะเฝื่อน ๆ แต่ที่ร่องฟันของเขา มีเส้นผมติดอยู่
ที่ผมเห็นตอนแรกมันไม่ใช่แมงกินฟันหรือคราบบุหรี่ มันคือเส้นผมคนครับ
นับตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไม่กล้ามองหน้า Y ตรง ๆ เลยต้องมองไปข้างนอกเวลาคุยแทนครับ
---------------------------
นี่คงไม่ใช่ “รักกันปานจะกลืนกิน” หรอกนะครับ
แต่เป็นการแฝงในร่างของอีกฝ่ายโดยใช้ส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเองเป็นสื่อ
เพราะว่าเส้นผมนั้น ระบบย่อยอาหารไม่สามารถย่อยสลายได้ คนที่เลี้ยงแมวคงจะรู้กันดีนะครับ เวลาแมวกินหญ้าแมวก็มักจะสำรอกก้อนขนที่เกิดจากการเลียขนออกมา
แต่จากเส้นผมที่หั่นละเอียดเป็นเส้นเล็ก ๆ มันกลายเป็นเส้นยาว ๆ ที่พันรอบฟันได้ยังไง อันนี้คงต้องไปคิดต่อกันเองครับ...
ส่วนวาเลนไทน์ปีนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุขกันนะครับ ผมไปซื้อช็อกโกแลตให้ตัวเองดีกว่า มีของน่าอร่อยเยอะ
ส่วนช็อกโกแลตที่ผู้หญิงทำเองนี่... ได้ฟังเรื่องนี้มาก็ไม่กล้ากินเลยครับ แต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครทำมาให้อยู่ดี รอดไปครับ
Comments