พอเข้าใกล้เดือนกันยายน กิจกรรมยอดนิยมอย่างหนึ่งในช่วงนี้ก็คือการไปชมทุ่งหญ้าซุซุกิครับ เป็นหนึ่งในสิ่งที่เป็นองค์ประกอบในงานวันไหว้พระจันทร์ของญี่ปุ่น ซึ่งก็จัดขึ้นในคืนพระจันทร์เต็มดวงของเดือนกันยายนครับ
ในครั้งนี้เลยของหยิบยกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุ่งหญ้า บ้านร้าง และแดนสนธยา มาฝากกันนะครับ ต้นเรื่องเป็นเรื่องที่เขียนในกระทู้เว็บ 2Channel ของญี่ปุ่น อาจจะไม่ดังแบบเรียวเมนสุคุนะหรือทาโดโคโระคุง แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยครับ ไปชมกันเลยดีกว่า
บ้านหลังเดี่ยวกลางทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดตา
ขออนุญาตโพสต์นะครับ
เรื่องเมื่อสมัยมหาลัยครับ
ตอนนั้นผมก็อยู่บ้านแล้วเดินทางไปเรียนที่มหาลัยในจังหวัด
แล้วก็ได้ไปรู้จักกับ A ในคาบเรียนที่เรียนด้วยกัน พอยิ่งรู้ว่าเป็นเด็กโรงเรียนประถมที่เดียวกันรุ่นเดียวกัน ก็ยิ่งสนิทกันทันทีเลยครับ
ก็สนิทกันจนถึงขั้นผลัดกันไปค้างบ้านของอีกฝ่ายเลยด้วย คุยเรื่องสมัยก่อนกันมากมายเลยครับ
วันนึง ผมก็ไปเที่ยวเล่นที่บ้านของ A เพื่อกะจะไปค้างบ้านเขาเหมือนทุกทีครับ
บังเอิญว่าวันนั้น ครอบครัว A ไม่อยู่บ้านกันสักคน บรรยากาศมันเหมาะกับการเล่าเรื่องผี ก็เลยผลัดกันเล่าไปหลายเรื่องครับ จนกระทั่ง A เกริ่นขึ่นมาว่า “เออ จะว่าไป แถว ๆ นี้ก็มีจุดเฮี้ยนนี่หว่า”
“บ้านร้างต้องสาปที่ภูเขา⭕️หลังคอนโด⭕️⭕️!”
ผมแอบแสยะยิ้มในใจ เพราะผมรู้จักที่นั่นดีเลย
อันที่จริงแล้วมันเป็นบ้านหลังเดี่ยวที่ร้างเฉย ๆ สมัยก่อนคนรู้จักของปู่เคยอาศัยอยู่ที่นั่น
เพราะตั้งอยู่กลางภูเขาลูกเตี้ย ๆ เลยมีทำเลที่น่ากลัวหน่อย แต่ก็ไม่เคยมีประวัติอะไรครับ
คนรู้จักปู่ก็ใช้ที่นั่นเป็นบ้านที่สอง เลี้ยงไก่จำนวนมากเป็นงานอดิเรกครับ
พอแก่ตัวเดินไม่ค่อยไหวก็ขายไก่ย้ายกลับบ้านหลัก เหลือแค่ตัวบ้านทิ้งไว้เฉย ๆ นั่นเอง
ไม่นึกว่าจะมีคนเห็นที่นั่นเป็นจุดเฮี้ยนนะเนี่ย…
ผมก็ฟัง A เล่าไปก่อน แอบบกั๊กไม่สปอยล์ข้อมูลจริงออกไป
แล้ว A ก็เสนอมาว่า “เฮ้ย ลองไปดูกันเลยดีมั้ย? ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว”
เสนอมาผมก็สนอง สัก 2 ทุ่มพวกผมสองคนก็ปั่นจักรยานไปบ้านร้างนั้นครับ
ปั่นอยู่ประมาณ 20 นาทีก็ถึง ภูเขา⭕️ ถึงจะเรียกกันว่าภูเขา แต่ก็อยู่หลังแหล่งย่านที่อยู่อาศัย คล้ายเนินเขามากกว่าครับ
ถึงจะเป็นป่าดงพงไพรแต่ก็ไม่ลึกมาก เดินเข้าไปประมาณ 5 นาทีก็ถึงบ้านร้างที่ว่าแล้วครับ
“ไปกันเลยมั้ย”
A กำลังสนุกตื่นเต้น ส่วนผมที่รู้อยู่แล้วว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ ก็แอบกลั้นขำไม่ให้ A รู้ครับ
พวกผมสองคนก็ถือไฟฉายเดินไปตามทางเข้าป่าครับ
เดินอยู่ได้สักพักก็เริ่มรู้สึก...
แปลก นี่เดินมา 15 นาทีแล้ว จริง ๆ มันควรจะทะลุไปอีกฟากได้แล้ว
“ไกลกว่าที่คิดเนอะ” A พูดแบบยังไม่คิดอะไร แต่ตัวผมกลัวไปเรียบร้อยแล้ว
มาผิดที่เหรอ? ก็ไม่น่าใช่
ถึงต่อให้ผิดที่จริง ๆ แต่เดินมาไกลขนาดนี้แล้วยังไม่ทะลุไปถึงอีกฝั่ง ไม่เรียกว่าแปลกก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรครับ
ผมพูดตอบตามที่ A พูดคุยถามมาเป็นระยะ จนเดินไปได้ 30 นาทีก็ที่โล่งตรงหน้า
“อะไรวะ?”
พวกผมหลุดปากออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พอหลุดจากแนวป่าออกมา ก็เป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดตา
แบบว่า โคตรจะกว้างเลยครับ กว้างแบบเอาโตเกียวโดมมาเรียงกันได้สองอันเลย
ที่แปลกกว่านั้นคือทั้ง ๆ ที่ไม่มีแสงจันทร์แต่ก็ไม่มืดสนิทครับ กลับสว่างเหมือนช่วงก่อนตะวันลับฟ้า
แน่นอนว่าแถวที่ผมอยู่ไม่มีที่โล่งกว้างแบบนี้ เพราะมันเป็นภูเขาที่อยู่ระหว่างย่านที่อยู่อาศัยกับโครงการคอนโดมิเนียม
พอลองมองดูรอบ ๆ ก็เห็นบ้านเดี่ยวหลังนึงตั้งอยู่ที่สุดสายตา มีแสงจากตัวบ้านออกมาให้เห็น
มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่แสงจากบ้านนั่นแหละครับที่ทำให้ทุ่งหญ้าโล่งกว้างนี้สว่างอยู่ในยามดึกเช่นนี้
“เอ่อ นั่นน่ะ ไม่ใช่บ้านร้างหรอกเนอะ”
“อืม กูว่าไม่ใช่แหละ”
พวกผมต่างก็งงกันทั้งคู่ แต่ก็ตัดสินใจไปที่บ้านหลังนั้นดูกันครับ
พอเข้าใกล้ก็เห็นได้ว่า ใหญ่ โคตรอภิมหาใหญ่ บ้านเดี่ยวอะไรกันเนี่ย ขนาดมันพอ ๆ กับโรงยิมได้เลยครับ
แสงไฟของบ้านก็สว่างวิบวับราวภาพมายา ตัวอาคารก็งดงามล้ำลึกแถมยังใหม่เอี่ยม พวกผมชมบ้านกันด้วยความทึ่งกันสักพักใหญ่เลยครับ
ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนอยู่ เสียงก็เงียบสงัด
พวกผมก็มองหน้ากัน กำลังตัดสินใจว่าจะเดินเข้าไป
ทันใดนั้นก็มีเสียง ปัง! ดังมาจากบานประตูเหมือนโดนเอาลูกบอลหรืออะไรกระแทก แสงไฟต่าง ๆ ก็ดับลงพรึ่บ
ตามด้วยเสียงฝีเท้าของใครก็ไม่รู้วิ่ง ตึบตึบตึบ แบบเท้าเปล่าวิ่งบนพื้น ดังใกล้เข้ามาทางพวกผม
ตอนนั้นพวกผมก็หันหลังใส่เกียร์หมาวิ่งกลับตามทางที่มาแบบไม่ยั้งเลยครับ รู้แค่ว่าถ้าไม่หนีคงเกิดเรื่องแน่ ๆ
ก็พูดแบบไม่อายเลยครับ ผู้ชายสองคนวิ่งจับมือพากันหนีสุดชีวิตครับ
ไม่รู้ทำไม ขากลับใช้เวลาแค่แป๊บเดียวก็ลงจากเขาได้แล้ว เลยรีบซิ่งจักรยานไปพักตั้งสติกันที่ร้านสะดวกซื้อกันครับ
อยู่กันแค่สองคนมันยังอกสั่นขวัญหาย เลยโทรหาเพื่อนไปทั่ว สุดท้ายได้ไปแจมกับกลุ่มเพื่อนที่นั่งก๊งกันอยู่ที่บ้านพอดีครับ
วันถัด ๆ มาพอเริ่มสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ก็ลองตรวจสอบหาข้อมูลกันอีกที ก็ยังไม่รู้คำตอบเลยครับ
ถ้าจะว่าเป็นอาคารที่พวกลัทธิมาสร้างไว้ คนที่อยู่แถวนั้นก็ต้องเอาไปร่ำลือกันแล้วแหละครับ
ถามปู่ย่า พ่อแม่ อาคารของคนรู้จักของปู่ที่เป็นบ้านร้างหลังนั้นก็ถูกรื้อไปแล้ว ไม่น่าจะเหลือให้เห็นได้
ช่วงก่อนจะเปิดเทอมใหม่ก็พาเพื่อน 4 คน รวม A ด้วย ไปดูกันอีกครั้ง แต่รอบนี้เดินแค่ 15 นาทีก็ทะลุชายป่าแล้วครับ
ทุ่งหญ้าโล่งกว้างสุดตากับโรงยิมนั้นก็หาไม่เจอครับ
———————————-
แปลจากเรื่อง “だだっ広い草原の一軒家” โดยบัญชีผู้ใช้ ZBf5S0JtP บนเว็บ 2Channel
ก็ไม่รู้นะครับว่า พวกเขาได้หลุดไปในอาณาเขตอาคมของผู้ใช้ไสยเวทย์คนใดรึเปล่า... /ผิดเรื่อง
เรื่องแนวหลงไปในสถานที่ลี้ลับที่กลับไปหาก็ไม่เจอ ถ้าจำกันได้ เคยลงเรื่องหน้ากากจิ้งจอกในศาลเจ้าไปเมื่อตอนที่ 18 นะครับ น่าจะเป็นไปได้ว่าถูกจิ้งจอกจำแลงมาหลอก ที่ผมเคยฟังมาก็มีแนวนี้เยอะครับ ร้านอิซากายะปริศนาเอย ร้านหน้ากากปริศนาเอย ส่วนใหญ่จะเชื่อว่าเป็นฝีมือจิ้งจอกกันครับ
อ้อ ในเรื่องบอกว่าเป้นช่วงปิดเทอมย่อยด้วย น่าจะตรงกับช่วงโอบงอีกเช่นกัน คงมีส่วนบ้างแหละตนับ หึหึหึ
เรื่องแนวจบแบบไม่มีข้อสรุป ฟังดูมันอาจจะค้างคา แต่ก็มีเสน่ห์ให้คนฟังหรือคนอ่านไปคิดต่อว่าแท้ที่จริงมันเป็นยังไง ใครที่เคยอ่านเรื่องทาโดโคโระคุงในตอนที่ 44 น่าจะจำได้นะครับ เนื้อเรื่องย่อยที่ทาโดโคโระคุงเล่าทำให้เพื่อน ๆ เอาไปนั่งคุยกันต่อว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไร เหมือนที่ผมมานั่งพิมพ์ให้ทุกคนอ่านกันตรงนี้แหละครับ 5555 ไว้เจอกันใหม่คราวหน้านะครับ เดือนหน้า เทศกาลไหว้พระจันทร์กับวันศารทวิษุวัตรออยู่ครับ
Comments