โอบงมักจะมีธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงวันที่ 13-16 ของเดือนบง สำหรับญี่ปุ่นก็ผ่านช่วงโอบงกันมาแล้วนะครับ ส่วนตัวโชคดีที่ไม่เจออะไรแปลก ๆ ในช่วงโอบงปีนี้ ส่วนปีก่อน ๆ เดี๋ยวไว้เล่าทีหลังนะครับ
นอกจากนี้ วันที่ 15 สิงหาคม ที่ญี่ปุ่นยังถือเป็นวันสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย ดังนั้นการพบเห็นวิญญาณทหารญี่ปุ่น วิญญาณบรรพบุรุษ และเรื่องผี ๆ ก็เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ วันนี้เราจะมาดูกัน 2 เรื่องครับ เริ่มกันเลย!
เรื่อง โอบง
นี่เป็นเรื่องที่ดิชั้นได้ประสบพบเจอมาตอนวันเกิดครบ 8 ขวบค่ะ
ดิชั้นเกิดวันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันไหว้บรรพบุรุษของโอบง และยังตรงกับวันที่ระลึกสิ้นสุดสงครามโลกด้วยค่ะ
วันนั้นดิชั้นเฝ้าบ้านปู่ที่เสียไปแล้วอยู่คนเดียว ช่วงเช้าก็เจอกับญาติ ๆ ที่ไม่คุ้นหน้ามาเล่นด้วยมากมาย พอถึง 5 โมงเย็นก็ง่วงจนไม่ไหวเลยค่ะ
ญาติคนอื่น ๆ ก็ออกไปกินข้าวกันที่ร้านนั่งดื่มใกล้ ๆ บ้าน แต่ดิชั้นทนความง่วงไม่ไหว เอาผ้าห่มขนหนูคลุมตัวแล้วนอนในห้องพระไปค่ะ
หลับไปได้สัก 1 ชั่วโมง พอลืมตาขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงกุกกักเหมือนคนไขกุญแจบ้านดังมาจากทางประตูหน้าบ้าน เลยคิดไปว่า “อ่า ทุกคนกลับมากันแล้วสินะ” เลยผลอยหลับต่อค่ะ
แต่ก็ไม่มีใครเดินมาหาสักที ดิชั้นเริ่มรู้สึกกังวล เลยค่อย ๆ ลืมตามองรอบ ๆ ดู ก็เห็นคุณทหารในชุดทหารญี่ปุ่นสมัยก่อนจำนวนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่รอบ ๆ ราวกับจะล้อมตัวดิชั้นไว้
ถึงจะรู้สึกกลัว แต่ดิชั้นก็ลองสังเกตดูคนเหล่านั้นดี ๆ แล้วก็เห็นว่า มีปู่ดิชั้นอยู่ในนั้นด้วย
ชั้นแอบคิดในใจ “คุณปู่ คุณปู่~” แล้วปู่ก็ยิ้มพร้อมพยักหน้า “อื้ม อื้ม” กลับมา
แล้วคุณทหารทั้งหลายก็ผลัดกันมาลูบหัวดิชั้นและก็หายตัวไปทีละคน
คนหนึ่งมาลูบหัว แล้วก็จางหายไป
อีกคนมาลูบหัว แล้วก็จางหายไป
พอคนอื่น ๆ นอกจากปู่ 5 คนหายไปแล้ว สุดท้ายปู่ก็เข้ามาถักเปียให้ดิชั้น แล้วก็จางหายไปค่ะ
ดิชั้นรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เชยเอาเรื่องนี้ไปบอกย่า แม่ และญาติ ๆ ค่ะ
แล้วย่าก็บอกว่า
“ปู่น่ะ แกคงอยากอวดหลานให้เพื่อนร่วมรบในสงครามที่เสียไปก่อนแหละกระมั้ง ปู่เองก็รักริกะเอามาก ๆ เป็นหลานที่แสนภูมิใจด้วย”
แล้วยังเสริมอีกว่า สมัยปู่ยังมีชีวิตอยู่ ปู่เคยบอกว่า
“ถ้ามีหลานสาวเกิดมา อยากจะมัดผมให้หลานสักหน่อย แต่ก็ดันถักเปียเป็นอยู่อย่างเดียวน่ะ”
อืมม พอมาลองคิดย้อนดูเอาตอนนี้ ดิชั้นก็เพิ่งเริ่มไว้ผมยาวหลังจากที่ปู่เสียไปแล้ว สมัยปู่ยังมีชีวิตอยู่เลยไม่ได้ให้มัดผมให้แหละมั้งคะ?
คุณปู่ ตอนนี้ก็ยังคงคอยดูแลหนูอยู่รีเปล่านะ
เรื่อง ปู่
เรื่องสมัยเด็กค่ะ ถ้าจำไม่ผิดก็ตอน 5 ขวบค่ะ
ตอนที่กำลังเล่นเป็นแม่ตุ๊กตาอยู่คนเดียว จู่ ๆ คุณปู่ก็มานั่งอยู่เยื้อง ๆ กันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
“อ้าว ปู่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ฉันถาม
แล้วคุณปู่ก็พูดว่า
“ฮืม? อืมมม เมื่อกี้นี่แหละ”
จริง ๆ คุณปู่ท่านป่วยจนพูดไม่ได้ตั้งแต่ก่อนฉันเกิด ก็เลยเคยว่า แปลกแฮะ ตามภาษาเด็กค่ะ
แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น
แต่ทว่า คุณปู่กับพูดมาเองว่า
“ปู่น่ะ ตายแล้วนะ”
ตอนนั้นฉันยังเด็ก ตายแล้วคืออะไรก็ยังไม่เข้าใจ เชยตอบไปแค่
“อ๋อ งั้นเหรอคะ”
แล้วจู่ ๆ คุณปู่ก็ถามว่า
“เออนี่ K ไปกับปู่มั้ย”
“อืม หนูเล่นแม่ลูกอยู่ ตอนนี้ไม่ว่างคะ” ฉันตอบปฏิเสธไปประมาณนี้
“อยู่ทางโน้นก็เล่นได้นะ สนุกเลยแหละ~”
“ไปไหนล่ะคะ?”
“ไม่รู้สิ~”
“ฮืม?”
ไม่รู้ว่าจะไปไหนด้วย ฉันก็กังวล เลยบอกไปว่า
“ข้างนอกมืดสนิทแล้ว เดี๋ยวถามแม่ดูนะคะ”
แล้วก็กำลังจะไปหาคุณแม่
แต่คุณปู่ก็คว้ามือฉันเอาไว้ พูดประมาณว่า
“นี่ปู่แอบมาไม่ให้แม่หนูรู้น่ะ ถ้าแม่หนูรู้ว่าปู่อยู่นี่ เดี๋ยวแม่หนูจะตกใจแย่”
แล้วก็ไม่ยอมให้ฉันไปหาแม่ค่ะ
หลังจากนั้นก็คุยกันหลายเรื่อง แต่สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจที่จะไม่ไปกับคุณปู่คะ
“งั้นหรอกหรือ K ไม่ไปด้วยหรือ”
คุณปู่ทำหน้าเสียดาย
“งั้น เดี๋ยวปู่ไปก่อนนะ”
แล้วคุณปู่ก็เดินไปทางประตูหน้าบ้าน
ฉันตามไปส่งที่หน้าประตู แล้วก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่น
สักพัก โทรศัพท์ก็ดังขึ้น คุณแม่ก็ไปรับโทรศัพท์
“อะไรนะ จริง ๆ เหรอ ไม่นะ… โอเคค่ะ…”
อะไรประมาณนี้ พูดคุยอยู่สักพักก็วางสาย
แล้วก็หันมาทางฉันแล้วพูดไปสะอื้นไปว่า
“คุณปู่เสียแล้วน่ะ”
พวกเราไปที่โรงพยาบาลกันทั้งครอบครัว ไปยังห้องคุณปู่
ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
แล้วคุณพ่อก็มาถึง พยายามยิ้มเจื่อน ๆ แล้วเข้าไปตบตามตัวคุณปู่
คงเพราะคุณปู่ทำหน้าเหมือนหลับอยู่ เลยอยากจะตรวจดูให้แน่ใจแหละมั้งคะ
เห็นอย่างนั้น ตัวฉันที่รู้ว่าคุณปู่ท่านเสียไปแล้ว ก็เลยบอกคุณพ่อไปว่า
“พ่อ พอเถอะค่ะ ปู่ตายแล้วนะ” เท่าที่จำได้รู้สึกจะหลุดปากพูดไปประมาณนี้ค่ะ
แล้วเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงโอบงในปีถัดมา พวกเราไปที่บ้านย่า ฉันก็ไปไหว้ป้ายศพของคุณปู่บนหิ้งบูชา
แล้วคุณปู่ท่านก็มานั่งอยู่ข้าง ๆ
“อ้าว K สบายดีมั้ยหลาน” คุณปู่ทักมาก่อน
“อ๋อ สบายดีค่ะ ปู่ ไม่ได้อยู่ในนี้เหรอคะ” ฉันถามพร้อมชี้นิ้วไปที่หิ้งบูชา
“หึ ปู่อยู่ตรงนี้ต่างหากเล่า” คุณปู่ตอ
“งั้นเหรอคะ ปู่คงไม่ได้ไปอยู่ในหิ้งพระสินะ” ฉันทึกทักเอาเองตามประสาเด็ก
“ปู่คะ แล้วก่อนหน้านี้ ปู่ไปอยู่มาคะ”
“อ่า ปู่ไปสวรรค์มาน่ะ”
“สวรรค์เหรอคะ?”
“ใช่แล้วแหละ ก็ปู่ตายไปแล้วไงล่ะ”
“ฮืมม สวรรค์หรอคะ สนุกมั้ยคะ”
“โอ้ย สนุกมากเลยแหละ K ล่ะ ไปด้วยกันมั้ย?”
“อืมมม แต่ตายไปเนี่ย เจ็บไม่ใช่หรอคะ”
“ไม่เลยไม่เลย ไม่เจ็บอะไรเลยสักนิด”
คุยกันอยู่แบบนี้ประมาณ 5 นาที แล้วก็วกกลับไปเรื่องเดิม
“นี่ K ทางโน้นสนุกมากเลยนา ไปกับปู่มั้ย?”
“แต่ แต่ถ้าตายไป เดี๋ยวคุณแม่ก็ร้องไห้อีก”
“อ่า อืมมม ก็จริงเนอะ”
พอถึงจุดนี้ คุณแม่ก็ทักมาค่ะ
“K คุยกับใครอยู่เหรอ?”
ฉันก็ตอบไปตามตรง
“กับปู่คะ”
“กับปู่เหรอ ปู่ท่านเสียไปแล้วนะ”
“ป่าวค่ะ ปู่อยู่ตรงนี้ค่ะ”
“หือ ตรงไหน?”
“ข้าง ๆ ค่ะ”
“ข้างใครเหรอ?”
“ข้าง ๆ หนู”
คุณย่าได้ยินบทสนทนาก็ถามแทรกถามมาว่า
“K ปู่บอกว่าไงบ้าง”
“ก็ เพราะปู่ตายแล้ว เลยไปอยู่สวรรค์มาค่ะ แล้วก็ชวนมาว่า K ไปด้วยกันสิ คุณแม่ หนูไปสวรรค์บ้างได้มั้ยคะ”
ฉันตอบไปตามนั้น
แล้วคุณพ่อ คุณแม่ คุณย่า ที่เข้าใจความหมายก็หน้าซีดเผือดกันหมด
“ปู่บอกว่า สวรรค์สนุกมากเลย ตายไปไม่เจ็บตรงไหนเลย”
“นี่ K โกหกรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้โกหกค่ะ ปู่ก็อยู่ตรงนี้จริง ๆ ค่ะ”
“ก็นั่นแหละ อยู่ตรงไหนล่ะ?”
“ข้าง ๆ หนูค่ะ เนอะปู่เนอะ”
“เอ้อ”
ดูเหมือนว่า ทุกคนจะได้ยินที่คุณปู่พูดว่า เอ้อ กันหมด คุณพ่อก็กระสับกระส่าย คุณแม่ก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อดี
แล้วคุณปู่ก็บอกว่า
“เออ K ปู่ไปก่อนนะ”
ก็เลยเดินไปส่งที่หน้าประตูบ้านเหมือนเดิมค่ะ
“บ๊ายบายค่ะปู่ แล้วมาอีกนะคะ”
“เอ้อ เดี๋ยวโอบงมาใหม่นะ”
“โอเคค่ะ”
“ถึงตอนนั้น K ก็ไปด้วยกันนะ แล้วเจอกันนะ”
แล้วก็หายตัวไปทันทีค่ะ
พอกลับไปที่ห้องนั่งเล่น คุณย่าก็ร้องไห้ปนโมโหอยู่
“งี่เง่าจริงเชียวปู่เอ๊ย จะพาหลานไปอยู่ด้วย งี่เง่าจริง ๆ เลย”
ปล. โอบงปีถัดจากนั้น ฉันกับแม่ก็อยู่เฝ้าบ้านกันค่ะ
นับแต่นั้นมา ฉันก็ถูกห้ามไม่ให้ไปบ้านย่าในช่วงโอบงตลอดเลยค่ะ
———————————-
เป็นไงบ้างครับ สองเรื่องสองอารมณ์ ปรับกันไม่ทันเลยสินะครับ ปู่เรื่องสองนี่เป็นเซลล์ขายตรงเก่ารึเปล่าเนี่ย ชวนเชื่อขนาดนี้
ส่วนที่ไทยก็มีงานบุญเดือนสิบ หรือเทศกาลชิงเปรต ในช่วงกันยายน แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเจอวิญญาณญาติ ๆ มาหากันนะครับ จะมีก็แต่เจอผีเจอเปรตที่มารับส่วนบุญมากกว่า… แต่นั้นให้ทางไทยเล่าดีกว่าครับ สำหรับผมขอนำเรื่องในญี่ปุ่นมาฝากกันแบบนี้ก็พอ
ส่วนประสบการณ์ตรงสมัยที่อยู่ญี่ปุ่น ติดไว้ก่อนนะครับ หึหึหึ
Comments