ตำนาน เทพเจ้า เทพปรณัมโบราณ และขนบธรรมเนียม ตำนานเทพปรณัมญี่ปุ่นเป็นโลกแห่งความแยบคาย พลังเหนือธรรมชาติ และเรื่องมหัศจรรย์ นิทานผสมผสานองค์ประกอบของพุทธศาสนากับลัทธิชินโตที่เน้นถึงธรรมชาติ เล่าตั้งแต่เรื่องของเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ไปจนถึงการกำเนิดจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่น นอกจากจะปรากฏในบันทึกโบราณแล้ว นิทานเทพปรณัมยังสามารถเห็นได้ในการแสดงคางุระ (การแสดงละครถวายเทพขอทางชินโต) การแสดงละครคาบูกิ และการแสดงละครโน
เทพปรณัม คืออะไร?
ตำนานเทพปรณัม ถูกให้คำจำกัดความว่า เป็นการเล่าเรื่องที่มีเรื่องราวเกี่วกับเทพเจ้าและสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ ซึ่งเชื่อกันว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริง มักมีความเกี่ยวพันกับความเชื่อทางศาสนา โดยมีลักษณะเชิงสัญลักษณ์และมีลักษณะเฉพาะมากมาย ตำนานเทพปรณัมที่รู้จักกันทั่วไปและรู้จักกันดี ได้แก่ ตำนานเทพปรณัมกรีก และเทพปรณัมมาบิโนกิแห่งเวลส์ ซึ่งทั้งคู่มีเรื่องเล่าเกี่ยวเชิงความเชื่อด้านศีลธรรมกับการกำเนิดขึ้นของสรรพสิ่ง และมีองค์ประกอบเหนือธรรมชาติ ในญี่ปุ่น เทพปรณัมนั้นมุ่งเน้นไปที่การกำเนิดหมู่เกาะญี่ปุ่น การถือกำเนิดขึ้นของเทพและอำนาจของเทพเป็นส่วนใหญ่ และเป็นที่นับถือกันอย่างยิ่ง
ตำนานเทพปรณัมญี่ปุ่นมาจากไหน?
ตำนานเทพปรณัมอันแสนซับซ้อนของญี่ปุ่นนั้น เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างวัฒนธรรม ศาสนา และประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย มีองค์ประกอบของศาสนาหลักสองอย่างของประเทศ อันได้แก่ ชินโตและพระพุทธศาสนา ตลอดจนอิทธิพลจากประเทศจีนและอินเดีย ทั้งหมดยังนำมารวมกับองค์ประกอบพื้นเมืองจากผู้อาศัยที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งก็คือ ชาวไอนุทางตอนเหนือ และชาวริวกิวของโอกินาว่า ในขณะที่แต่เดิมเป็นนิทานที่เล่าปากเปล่าหรือเล่าผ่านเพลงพื้นบ้าน แต่ก็มีตำนานเทพปกรณัมและตำนานที่เขียนบันทึกขึ้นเพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ ไม่ว่าจะในพงศาวดารแห่งชาติหรือในหนังสือรวบรวมของกลอนหรือเรื่องราว
จารึกโบราณ โคจิกิ และพงศาวดารญี่ปุ่น นิฮงโชกิ
บันทึกสำคัญสองเล่มนี้เป็นบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดในตำนานเทพปกรณัมญี่ปุ่น เนื่องจากเขียนขึ้นเพื่อให้บันทึกเหตุการณ์ญี่ปุ่นและเสริมประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนชั้นปกครอง ทั้งสองเล่มมีองค์ประกอบทางการเมืองรวมอยู่ จึงไม่ได้มีแค่เนื้อหาเฉพาะตำนานเทพปกรณัมล้วน ๆ เท่านั้น แต่ยังผูกเรื่องราวประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเล่าแห่งชาติ
โคจิกิ - หมายถึง 'จารึกโบราณ' เป็นการรวบรวมนิทานพื้นบ้านที่บันทึกไว้ในปี 712 เนื้อหารวมถึงเทพปกรณัม ตำนาน และนิทานจากทางราชสำนัก และมีความสำคัญต่อการสืบทอดพิธีการและขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ มีหนังสือคู่ขวัญอีกเล่มหนึ่ง เรียกว่า Annotation of the Kojiki ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18
นิฮงโชกิ หมายถึง 'พงศาวดารญี่ปุ่น' มีประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศตั้งแต่จุดเริ่มต้นในยุดเทพปกรณัมมาจนถึงช่วงปี ค.ศ. 697 ถูกรวบรวมเขียนขึ้นในปี 720 เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์ของราชสำนักที่ยาวนานน่าประทับใจไม่แพ้ราชสำนักจีน และยังมีการดำเนินการเขียนบันทึกต่ออีกหกเล่มจนถึงปี 887 ในพงศาวดารมีรายละเอียดเกี่ยวกับเทพปกรณัมและตำนานของญี่ปุ่น อิทธิพลของจีน การปฏิรูปไทกะ และการเข้ามาของพระพุทธศาสนาสู่ประเทศญี่ปุ่น ทำให้เป็นเอกสารหลักในการทำความเข้าใจว่าญี่ปุ่นพัฒนาไปอย่างไรในช่วงปีแรก ๆ
เรื่องราวการกำเนิดญี่ปุ่นและตัวละครเทพปกรณัมที่มีชื่อเสียง
มีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับตำนานการกำเนิดโลก โดยเน้นที่พิธีการและการชำระล้างให้บริสุทธิ์ พร้อมเรื่องราวมุมมืด เช่น การฆ่าเด็กทารก และการตายของตัวละครต่าง ๆ ตลอดทั้งเรื่อง มีเรื่องราวสองฝั่งหลักในตำนาน: ฝั่งยามาโตะ และฝั่งอิซูโมะ ฝั่งแรกมีเรื่องราวจะเกี่ยวข้องกับเทวีสุริยา อามาเทราสุ และอีกฝั่งจะเกี่ยวข้องกับเทพสมุทรและวายุ สุซาโนะโอ ผู้เป็นพระอนุชา
อิซานากิและอิซานามิ: เทพกับหมู่เกาะ
มีเรื่องราวอันเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างญี่ปุ่นอยู่ 2 อย่าง: "คามิอุมิ" กำเนิดเทวา และ "คุนิอุมิ" กำเนิดแผ่นดิน ในทีแรก โลกเป็นสถานที่แห่งความอลม่านของสะสาร แต่ในที่สุดสะสารก็แบ่งออกเป็นสองส่วน - ส่วนที่ละเอียดกว่านั้นกลายเป็นสวรรค์ (หยาง) และส่วนที่หนักกว่าก็กลายเป็นโลก (หยิน) ในทีแรก ได้ปรากฏเทพเจ้าสามองค์ขึ้นจากสะสารตั้งต้น โดยมีองค์หนึ่งให้กำเนิดกอกกเชื่อมระหว่างทั้งสอง - จากนั้นเทพเหล่านี้ก็ให้กำเนิดเทพเจ้าอีกเจ็ดรุ่น บางรุ่นก็กำเนิดมาเป็นคู่ครองเทวะ แต่ในตำราบางฉบับก็กล่าวว่ากำเนิดมาเป็นพี่น้องกัน
หนึ่งในคู่ดังกล่าวก็คือ อิซานากิและอิซานามิ (หมายถึงชายผู้อัญเชิญและหญิงผู้อัญเชิญ ตามลำดับ) ทั้งสองได้รับคำสั่งให้ไปยืนบนสะพานทอดเหนือเหนือมหาสมุทรและกวนสมุทรด้วยหอก ยกหอกขึ้นและใช้น้ำเกลือที่แลายหอกหยดลงเพื่อสร้าง โอโนโกโระ เกาะแรกของญี่ปุ่น ทั้งสองลงมาที่เกาะนี้และให้กำเนิดบุตรธิดาอีกแปดองค์ ซึ่งไม่ได้เกิดเป็นเทพแต่เป็นแผ่นดิน กลายเป็นเกาะต่าง ๆ มากมายในหมู่เกาะญี่ปุ่น จากนั้นจึงให้กำเนิดเทพจ่อ ในระหว่างที่ให้กำเนิดเทพเจ้าแห่งไฟ คากุตสึจิ อิซานามิก็เสียชีวิต จนอิซานากิผู้เศร้าโศกได้พลั้งมือฆ่าบุตรองค์นั้นเพื่อล้างแค้น ตำนานยังคงดำเนินต่อไป โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับความพยายามของอิซานากิในการช่วยเหลืออิซานามิจากดินแดนโยมิ ยมโลกของญี่ปุ่น แม้ว่าจะได้พบกัน แต่อิซานามิกลับบอกว่าเธอไม่สามารถออกไปได้ เนื่องจากเธอกินอาหารที่ปรุงขึ้นในโยมิไปเสียแล้ว และแม้ว่าเธอจะได้เตือนอิซานากิ แต่เขาก็ยังแอบมองดูเธอในความมืดและเห็นร่างที่แท้จริงของเธออันเต็มไปด้วยหนอนชอนไช และทำการหลบหนีไปในทันที ด้วยความอับอาย อิซานามิไล่ตามอิซานากิจากโลกโยมิ แต่ก็พบว่า อิซานากิได้นำก้อนหินมาวางขวางทางเธอไว้ นี่เป็นการหย่าร้างครั้งแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น จากนั้นอิซานากิก็ชำระตัวเองให้บริสุทธิ์จากความอัปมงคลของดินแดนโยมิ
อามาเทราสุโอมิคามิ: เทวีสุริยาแห่งฝั่งยามาโตะ
ขณะที่อิซานากิล้างตนเองในพิธีชำระล้าง น้ำตาที่ไหลจากตาซ้ายของเขาก่อตัวเป็นเทวีสุริยา อามาเทราสุโอมิคามิ ผู้ซึ่งถูกมองว่าเป็นต้นสายของราชวงศ์ญี่ปุ่น อามาเทราสุเป็นหนึ่งในเทพองค์สำคัญที่สุดของศาสนาชินโต และปกครองทาคามะกาฮาระ หรือ 'ที่ราบฟ้าสูง' ซึ่งเป็นที่ประทับของเหล่าทวยเทพทั้งมวล อามาเทราสุเป็นหนึ่งในสามเทพที่กำเนิดขึ้นระหว่างพิธีชำระล้างของอิซานากิ เธอมีความเกี่ยวข้องกับ สึคุโยมิโนมิโคโตะ เทพจันทรา ผู้กำเนิดขึ้นจากจากตาขวาของอิซานกิ และ สุซาโนะโอ เทพสมุทรและวายุที่กำเนิดขึ้นจากจมูกของอิซานากิผู้เป็นบิดา
ก่อนออกเดินทางสู่ดินแดนที่แต่ละองค์ต้องไปปกครอง อามาเทราสุได้ให้กำเนิดบุตรธิดาในพิธีเสี่ยงทายด้วยดาบและอัญมณีกับสุซาโนะโอ ผู้ซึ่งกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่ให้ความเคารพสถานที่ของอามาเทราสุ รวมถึงปาม้าที่ถูกถลกหนังตัวหนึ่งเข้าไปในห้องทอผ้าของอามาเทราสุ เทวีสุริยาได้เกิดความเสียจนจนหลบหนีเข้าไปในถ้ำ ปล่อยให้โลกอยู่ในความมืดไร้แสงอาทิตย์ เทพทั้ง 800 องค์จึงมาชุมนุมกันโดยวางแผนจะล่อให้อามาเทราสุออกมาจากถ้ำ โดยใช้กระจกและไก่กระทง แต่แผนก็ไปไม่ได้สวย จนกระทั่งการร่ายรำของเทพีแห่งการเต้นรำ อาเมโนสุเมะ ที่ไม่ได้วางแผนไว้สร้างเสียงหัวเราะจากเหล่าทวยเทพอย่างมากมาย จนแม้แต่อามาเทราสุเองก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นจนออกจากถ้ำมา และเชือกชิเมะนาวะ (เชือกมัดใหญ่ทำจากฟางข้าว) ก็ถูกโยนมาปิดถ้ำเพื่อกันไม่ให้อามาเทราสุหนีกลับไปในถ้ำอีก
ศาลเจ้าหลักของอามาเทราสุก็คือศาลเจ้าใหญ่อิเสะ เป็นศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในญี่ปุ่น เป็นสถานที่เก็บรักษากระจกยาฮาตะโนะคากามิ ในขณะที่ดาบถูกเก็บไว้ในศาลเจ้าอัตสึตะในจังหวัดไอจิ และอัญมณีมากาทามะก็ถูกเก็บรักษาโดยจักรพรรดิญี่ปุ่นเอง - ทั้งสามสิ่งนี้เป็นสมบัติราชวงศ์จักรพรรดิของญี่ปุ่น (ถูกนำออกมาใช้ในพิธีราชาภิเษกด้วย)
สุซาโนะโอโนมิโคโตะ: เทพสมุทรแห่งฝั่งอิสุโมะ
มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับเทพบุตรผู้หุนหันพลันแล่น สุซาโนะโอ ผู้ปกครองท้องทะเล หลังจากพฤติกรรมอันไม่สมควรต่ออามาเทราสุ สุซาโนะโอก็ถูกขับออกจากแดนสวรรค์ ไปยังดินอดนอิสุโมะ สุซาโนะโอได้ช่วยเจ้าหญิงรูปงาม คุชินาดะฮิเมะ จากงูแปดหัวที่รู้จักกันในนาม ยามาตะโนะโอโรจิ การแต่งงานของสุซาโนะโอากับเจ้าหญิงจึงหมายความว่า โอคุนินุชิ บุตรของทั้งสองจึงมีโชคชะตาจะได้กลายเป็นผู้ปกครองดินแดนอิสุโมะ เป็นเวลานานก่อนทายาทของอามาเทราสุจะเข้ามา เมื่อเทวีสุริยาได้ทำการร้องขอให้อิสุโมะถูกปกครองโดยทายาทของเทพเจ้าแห่งแดนสวรรค์ แทนที่จะเป็นทายาทของเทพเจ้าบนแดนโลกมนุษย์ นินิกิ หลานชายของอามาเทราสุก็ได้รับข้าวศักดิ์สิทธิ์และถูกบอกให้นำไปปลูกพืชผลและบูชาเทพเจ้าแห่งสวรรค์เสีย ต่อมานินิกิได้แต่งงานกับเทวีแห่งขุนเขา โดยลูกชายหนึ่งในสามคนของทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นบิดาของจักรพรรดิในตำนานองค์แรกของญี่ปุ่น จักรพรรดิจิมมู ผู้ซึ่งผลักดันญี่ปุ่นจากยุคแห่งเทพเจ้าไปสู่ยุคประวัติศาสตร์ภาคมนุษย์ในกาลต่อมา
Comments