ที่ญี่ปุ่น นอกจากเรื่องแนวภูตผีปีศาจ เรื่องสยองจากคนแล้ว เรื่องลี้ลับอย่างพวก UFO (ภาษาญี่ปุ่นเรียก ยูโฟ) และสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ยังไม่ได้รับการพิสูตน์ (Unidentified Mysterious Animal นิยมเรียกว่า ยูม่า UMA) ก็มีอยู่มากเช่นกันบางครั้ง กัปปะ (พรายน้ำ) ก็ถูกจัดเป็น UMA บ้าง เป็นภูต (โยไค) บ้าง ในครั้งนี้เลยขอนำเรื่องแนว UMA มาเสนอสักเรื่องครับ เรื่องนี้ค่อนข้างยาวเลย ใครอ่านจนจบ ลองมาเสนอความเห็นกันได้นะครับ
ปล. ต้นเรื่องเขียนวกไปวนมาเยอะ แต่หลายคนอยากให้แปลตามต้นฉบับให้ได้อรรถรส เลยขอแปลตามต้นฉบับนะครับ
เรื่อง ดอกไม้ (花 / Hana)
สมัยที่เพิ่งได้ใบขับขี่มาใหม่ ๆ หลายคนคงรวมตัวกับเพื่อนพากันขับรถเล่นไปตามที่หรือเส้นทางที่ยังไม่เคยไปมาก่อนกันบ่อย ๆ สินะครับ เมื่อ 2 ปีก่อน ผมเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ช่วงปิดเทอมย่อย พอกลับไปที่บ้านพ่อแม่ เพื่อนที่อยู่แถบบ้านเกิดก็ชวนไปขับรถเล่นกันครับ เลยอยากจะเอาเหตุการณ์ที่เกิดตอนนั้นมาเขียนครับ
ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนโอบ้งไม่นาน จำได้ว่าร้อนแดดเปรี้ยงตั้งแต่เช้า เพื่อนตั้งแต่สมัย ม. ต้น คนที่ชอบเล่นแผลง ๆ ในแถบบ้านเกิดที่มักจะเจอกันบ่อย ๆ ก็โทรมาบอกว่า ชวนสาว ๆ ไปขับรถเล่นไว้อยู่ ไปด้วยกันมั้ย แล้วกันนัดกันว่าจะมารับไปช่วงเช้า
ผมเองก็รู้ว่าเพื่อนสนิทคนนี้ชวนไปด้วยเหตุผลอะไร ว่ากันง่าย ๆ ก็คือ เพื่อนคนนี้มีสาวที่อยากจะจีบให้ติดอยู่ แต่ไปกันแค่สองคนยังไงก็คงชวนไปไม่ได้ เลยชวนเพื่อนไปด้วยนั่นเอง จริง ๆ ผมก็เป็นแค่ตัวเสริมที่ไม่ต้องไปก็ได้ แต่ไหน ๆ ก็มีสาวที่เป็นเพื่อนของฝ่ายหญิงมาด้วย ผมที่ชอบอยู่กับสาว ๆ ตั้งแต่สมัยก่อนก็ถือเป็นโอกาสดีสิครับ
พอแดดเริ่มแรงขึ้นมาหน่อย เพื่อนตัวดีก็ขับรถมารับ แล้วก็ไปบ้านของสาวที่เพื่อนตามจีบอยู่ รับสาวทั้ง 2 นางขึ้นรถกันครับ
ขอใช้นามสมมติเพื่อนว่า T ก็แล้วกันครับ ส่วนสาวที่เพื่อนจีบให้ชื่อว่า M แล้วเพื่อนผู้หญิงของ M ให้ชื่อว่า H นะครับ
T ก็บอกแผนว่าจะเริ่มด้วยการไปที่ภูเขาใกล้ ๆ บ้านเกิดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อพอสมควร เดินเล่นไปมากันจนเย็นแล้วก็กินข้าวกันครับ แล้วค่อยคุยกันว่าจะไปไหนต่อดี เป็นแผนการเที่ยวที่น่าสนใจพอดูเลย
พวกผมออกเดินทางตามแผน อยู่ที่แหล่งท่องเที่ยวกันจนเย็น แต่ระหว่างทางกลับจะผ่านอุทยาน มีหอชมวิวบนภูเขาด้วย M ก็ออกปากว่า วิวตอนค่ำน่าจะสวย ลองไปดูกันมั้ย H เองก็อยากไป พวกผมเลยไปกันครับ
พอเดินทางกันสักพัก ก็เห็นป้ายหอชมวิว เลยไปตามป้ายกัน แต่ดูเหมือนว่าจะไปหลงออกนอกเส้นทางกันตรงไหนสักที่ขับยังไงก็ไปไม่ถึงที่หมายสักที จนพระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน
กำลังคุย ๆ กันว่า ช่วยไม่ได้ ลองกลับเส้นทางที่วิ่งมาดูดีกว่า แต่ T ก็บอกว่าขอจอดพักสูบบุหรี่สักเดี๋ยวละกัน เลยขับไปจอดที่ทางย่อยที่ไม่น่าจะมีรถวิ่งผ่านครับ
จริง ๆ ใน 4 คนนี้ มีแค่ T คนเดียวที่สูบบุหรี่ ส่วน 3 คนที่เหลือรวมผมด้วยก็คงไม่มีใครยอมให้สูบในรถ T เลยหาที่จอดเพื่อไปสูบข้างนอกนั่นเองครับ
T ไปสูบบุหรี่ห่างจากรถลึกเข้าไปตามเส้นทางที่เลี้ยวมา ส่วน M กับ H ก็นั่งรอกันในรถ ส่วนผมก็ออกมาสูดอากาศข้างเอยยืดเส้นยืดสายเอย สักพัก T ก็มาเรียกว่า “เฮ้ย ช่วยมาดูอะไรนี่หน่อย”
พอไปหา T ก็เข้าใจถึงสาเหตุที่ T เรียกทันที
ในป่าห่างออกไปประมาณ 30-40 เมตรจากจุดที่พวกผมอยู่ มีอะไรบางอย่างที่มองเห็นไม่ชัดเพราะค่อนข้างไกล แต่ดูเหมือนดอกไม้ขนาดใหญ่
ที่บอกว่าดอกไม้ก็เพราะเส้นขอบนอกของ “อะไรบางอย่าง” นั้นมีสีออกแดงหรือแดงเลือดหมู ส่วนตรงกลางมีสีออกขาว ถ้าจะเทียบกับอะไรสักอย่าง ดอกไม้ก็คงจะใกล้เคียงที่สุดครับ
ขนาดนั้น เนื่องจากระยะห่างเลยบอกแน่นอนไม่ได้ แต่ประมาณ 30-40 ซม. “ดอกไม้” ที่ว่านี้ก็ไม่ได้กลมเป็นวงกลมออกแนวสี่เหลี่ยมจัตุรัสขอบมนเสียมากกว่า
ผมเลยถาม T ไปว่า “นั่นมันคืออะไรหว่า”
แน่นอนว่า T ก็ไม่รู้เหมือนกัน เลยตอบตามที่คาดว่า “จะไปรู้ได้ไง นึกว่ามึงจะรู้นะเนี่ย”
พวกผมคุยกันสักพัก M กับ H เหมือนจะสงสัย เลยลงจากรถมาหาพวกผมกัน
H ถามว่า “ทำอะไรกันอยู่หรอ?”
ผมกับ T ก็ชี้นิ้วไปที่วัตถุคล้าย “ดอกไม้” ที่ว่า ผมก็ถามกลับไปว่า “นั่นน่ะ เธอว่ามันคืออะไร”
แน่นอน H ยิ่งไม่น่าจะรู้ “ไม่รู้สิ แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ รีบไปที่หอชมวิวกันดีกว่า” ดูเหมือน H จะไม่สนใจเลยสักนิด
ส่วนทางผมและ T ก็สนใจกันเต็มที่ อยากจะรู้ว่าวัตถุปริศนาอันนี้มันคืออะไรกันแน่ เลยเริ่มเดินแหวกทางเข้าไปดูใกล้ๆ กันครับ
แล้ว M ก็ปรามว่า “อย่าไปเลย ดูแล้วรู้สึกคลื่นไส้ยังไงชอบกล”
แต่ T ก็คงอยากจะทำเท่ห์ต่อหน้าสาวที่ชอบสักหน่อย เลยบอกไปว่า “ไม่เป็นไรหรอก รอแป๊บนะ ขอไปดูแค่แว่บเดียว” แล้วก็เดินดุ่ม ๆ ลึกเข้าไปเรื่อย ๆ
H ก็เสริมมาว่า “ฮึ่ย พอแค่นี้เถอะ ชั้นเองเห็นอะไรนั่นแล้วก็คลื่นไส้เหมือนกัน”
ผมกับ T ก็ไม่ฟังเสียวรบเร้าให้เลิกของ M กับ H จนเข้าไปใกล้ประมาณ 10 เมตร ใกล้ขนาดนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันคือวัตถุอะไร แต่ก็พอจะรู้แล้วว่ามันประกอบด้วยอะไร ทำไมจึงมีสภาพเช่นนี้
สิ่งที่ว่า ตอนแรกผมบอกไปว่าเหมือนดอกไม้ก็จริง แต่พอดูใกล้ ๆ มันคือสิ่งแปลกประหลาดคนละเรื่องเลยครับ
เนื่องจากเป็นอะไรที่ไม่เคยเห็นที้ไหนมาก่อน และก็ไม่มีอะไรใกล้เคียงด้วย จะเขียนอธิบายก็ยากพอดู
อยากที่บอกไปตอนต้นว่ามีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัสขอบมน บริเวณขอบเป็นสีแดงเลือดหมู แต่พอดูใกล้ ๆ มันกลับไม่ใช่กลีบดอกไม้ แต่เป็นอะไรที่อธิบายไม่ถูกเลยครับ
ถ้าจะเทียบกับอะไรที่ใกล้ที่สุด มันเหมือนกับผงโลหะที่ถูกแม่เหล็กดูดมาหุ้มไว้ครับ วัตถุคล้ายโลหะที่ว่าลอยไปมารอบๆ แกนกลาง
ส่วนที่น่าพิลึกยิ่งกว่าก็ของวัตถุตรงกลาง จากไกล ๆ ทีแรกดูเหมือนเป็นสีขาว แต่พอดูใกล้ ๆ มันคือก้อนกลมที่มีสีเหมือนผิวหนังมนุษย์ ไม่มีหลุมหรือเนิน ไม่มีตาจมูกปาก ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันดูเหมือนเนื้อและหนังมนุษย์ที่กลายเป็นก้อนกลม ๆ บางทีก็ยุบบางพองบ้างเหมือนกับหายใจเข้าออก ส่วนเศษผงโลหะก็ขยับไปมารอบ ๆ แกนกลางประมาณนี้ครับ
แล้วก็ มันลอยอยู่กลางอากาศด้วยครับ...
ไม่ได้ดูผิดแน่นอนครับ ถึงจะเป็นกลางป่าในตอนค่ำก็ตาม แต่ก็สว่างพอจะมองเห็นได้ชัด ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรยึดหรือค้ำวัตถุแกนกลางแน่นอน จะว่าแกนกลางยืดแขนขาค้ำจากพื้นก็มองไม่เห็นอยู่ดี แต่มันลอยอยู่สูงจากพื้นประมาณ 1 เมตรเลยครับ นี่แหละที่พิลึกที่สุด
ตอนผมเห็นวัตถุพิลึกดังกล่าว แทนที่จะกลัว ผมกลับรู้สึกเหมือนเวลาที่ดูภาพน่าสะอิดสะเอียนเสียมากกว่า
เป็นอะไรที่แปลกประหลาดไม่เคยพบเห็น ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้ดูน่าสะอิดสะเอียนอะไรขนาดนั้นก็ตาม
พอลองหันไปข้าง ๆ ก็เห็น T ในสภาพเดียวกับผม อึ้งจนพูดไม่ออก ได้แต่จ้องมันอย่างแปลกใจ
“เฮ้ย ยังไงรีบกลับไปที่รถกันก่อนดีกว่ามั้ย กูว่าดูท่าทางไม่ดีแล้วว่ะ” ผมบอก
ทีแรก T ก็ยังตะลึงอยู่ พอได้ยินผมพูด ก็พูดมาว่า
“ไอ้นั่นน่ะ น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตนะ รีบกลับไปโดยไม่ให้มันรู้ตัวดีกว่า” แล้วค่อย ๆ ถอยหลังกันออกมา
พอถอยร่นจนเว้นระยะได้ที่ พวกผมก็หันหลังกลับกัน แล้วเดินอย่างเร็วไปที่รถและพวก M กับ H
พอถึงที่รถ ทั้ง M และ H ต่างมีสีหน้าซีดเผือด ชี้ไปข้างหลังพวกผมพร้อมพูดว่า “เฮ้ย มันตามมา”
พวกผมตกใจ พอลองหันกลับไปดู ก็เห็นมันลอยห่างไปประมาณ 10 เมตร
ดูเหมือนมันจะจงใจเว้นระยะห่างไว้แล้วแอบตามพวกผมมาครับ
M บอกว่า “Tคุง ไอ้นั่นน่ะ ดูแล้วคลื่นไส้แปลก ๆ รีบออกจากที่นี่กันเถอะ”
ผมกับ T ก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นกันอยู่แล้ว ทั้ง 4 คนเลยรีบขึ้นรถกันอย่างเร็ว แล้วออกรถทันที
พอออกรถมาได้ ก็โล่งอกกัน แต่สภาพของ T ดูแปลก ๆ มองกระจกข้างบ้างกระจกมองหลังบ้าง อยู่ไม่สุขเลย
“T เป็นไรวะ” ผมถาม T ทำท่าชี้นิ้วไปที่กระจกมองหลังเป็นการตอบ เหมือนกับจะบอกเป็นรัยว่าให้ลองดูเองสิ
ตอนนั้นผมก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็อยากจะยืนยันด้วยตาตัวเอง เลยเอี้ยวตัวจากเบาะข้างคนขับหันกลับไปดู
อย่างที่คาดเลยครับ เห็นวัตถุดังกล่าวกำลังตามมาผ่านกระจกหลัง
รถกำลังวิ่งบนถนนในภูเขา ความเร็วน่าจะประมาณ 70 กม./ชม. แต่วัตถุดังกล่าวกลับลอยตามมาแบบรักษาระยะพอดี
วัตถุดังกล่าวดูท่าทางจะไม่ได้มาทำร้ายพวกผมโดยตรง แต่ถูกวัตถุแปลก ๆ ที่แค่เห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกคลื่นเหียนเสียนไส้ไล่ตามมา ก็พึลิกพอแล้วครับ
ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกจากใจแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่ความฝันหรือดูผิดไป
H ถามขึ้นมาว่า “นี่ เอาไงดีล่ะ มันยังตามมาอยู่เลย”
T ตอบว่า “ถ้าขับลงเขาไปตามทางนี้เรื่อย ๆ ยังไงก็ต้องเข้าตัวเมืองแหละ เอาเป็นว่าหนีไปแถวนั้นก่อนก็แล้วกัน”
ก็จริงอย่างที่ว่า เวลาเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้เป้าหมายและตัวตนที่แท้จริง หนีไปยังที่ที่มีคนเยอะ ๆ น่าจะปลอดภัยที่สุด สิ่งนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรใส่ ขับไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็คงเลิกตามไปเอง
ขับไปได้สักประมาณ 10 นาที สภาพภายในรถก็เริ่มมีอะไรแปลก ๆ
M บอกว่า “⭕️⭕️คุง ช่วยปิดแอร์ให้หน่อย”
จะว่าไป เพราะเอาแต่คิดเรื่องที่ถูกไล่ตามเลยไม่ได้สังเกต แต่ในรถตอนนี้หนาวเอามาก ๆ เลยครับ
ผมก็คิดไปว่า เพราะอยู่บนที่สูงอยู่และเริ่มค่ำ อากาศเลยเย็น ก็เลยปิดแอร์ครับ
แต่ปิดแอร์ก็แล้ว ในรถกลับยิ่งหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้หนาวจนหายใจเป็นไอเย็น แต่หนาวจนไม่คิดว่าอยู่กลางฤดูร้อนเลยครับ
ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ผมเลยอยากให้สองสาวที่เบาะหลังสบายใจ เลยบอกไปว่า “อ้อ ก็นี่ภูเขา เรื่องแบบนี่ก็มีบ้างแหละเนอะ” แล้วเปลี่ยนโหมดจากแอร์เป็นฮีตเตอร์
ถึงตัวเองจะกลัวเอามาก ๆ ก็เถอะ
T ก็เสริมมาว่า “อีก 20 นาทีก็คงถึงเขตชุมชนที่เชิงเขา เดี๋ยวก็คงอุ่นขึ้นเองแหละ” แต่ดูก็รู้ว่าฝืนทำตัวร่าเริงอยู่
สักพักอากาศในรถก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะเปิดฮีตเตอร์แล้วก็ตาม เหมือนอยู่กลางฤดูหนาวก็ไม่ปาน หายใจออกก็เห็นเป็นไอน้ำสีขาว ปลายนิ้วเอยใบหูเอยเริ่มรู้สึกแสบจากความเย็นจัด
รอบ ๆ เริ่มมืดจนเห็นไม่ชัด แต่สิ่งนั้นก็ยังคงลอยตามมาโดยรักษาระยะห่างไว้ที่ 10 เมตรเช่นเดิม ดูยังไงความหนาวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่ น่าจะเกี่ยวข้องกับวัตถุที่ไล่ตามมาอย่างแน่นอน
“Hจัง เป็นอะไรรึเปล่า” M ถามขึ้นมา
“ไม่เป็นไร” H ตอบ แต่น้ำเสียงอิดโรยเอามาก ๆ เหมือนจะหมดแรงล้มฟุบ ไม่รู้เพราะความหนาวหรือเหตุผลอื่น แต่ H คืออยู่ในสภาพอันตราย นั่งตัวสั่นจากความหนาวพิง M ไว้
M ที่ถูกนั่งพิงเองก็ตัวสั่นไม่แพ้กัน ปากบอกไม่เป็นไร แต่สภาพก็คงแย่ไม่แพ้กันเลยเชียว
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ T ก็พูดว่า “ไม่ไหวแล้วว่ะ ขับไม่ไหวแล้ว” แล้วปล่อยมือจากพวงมาลัยพร้อมจอดรถ
ผมรีบบอก T ว่า “มึงจะหยุดรถทำไมวะ จอดตอนนี้เดี๋ยวก็ยุ่งหรอก!” แต่ T ก็เอาแต่สั่นแล้วพูดว่า “ไม่ไหวแล้วว่ะ มือกู...” พร้อมเอามือทั้งคู่ซุกใต้รักแร้
ผมเองก็หนาวจนทนไม่ไหวเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่า T จะแย่ยิ่งกว่าอีก
ผมเลยตัดสินใจ บอกไปว่า “T เดี๋ยวกูขับแทนเอง ลงจากรถแป๊บนึงนะ”
ผมเองก็ลงจากรถ แต่อากาศข้างนอกก็หนาวผิดปกติเช่นกัน ไม่ใช่หนาวแบบฤดูหนาวแล้ว หนาวแบบใบหูเอยปลายนิ้วเอยก็แสบเหมือนถูเข็มทิ่ม พอสูดหายใจก็เหมือนปอดจะแข็งเป็นน้ำแข็งเลยครับ
ผมรีบสลับที่กับ T พอ T ไปนั่งข้างคนขับเสร็จ ผมก็จับพวงมาลัย
แล้วผมก็เข้าใจในสิ่งที่ T พูดมาทั้งหมด
พวงมาลัยมันหนาวราวกับจับก้อนน้ำแข็ง หนาวจนไม่อาจจะจับค้างไว้นาน ๆ ได้เลย
พอดูกระจกมองหลัง เจ้าสิ่งลี้ลับนั้นก็ยังคงลอยอยู่นิ่ง ๆ รักษาระยะห่างไว้ที่ 10 เมตรเช่นกัน
ผมเปิดช่องเก็บของตรงคอนโซล หาเอาผ้าและกระดาษที่มีมาพันที่มือ แล้วจับพวงมาลัยบึ่งรถออกทันที
ขับไปได้สักพัก M ก็พูดด้วยเสียงอิดโรยว่า “นี่ ๆ H ดูแปลก ๆ เหมือนจะไม่ไหวแล้วนะ ทำไงดี”
ส่วน H ก็พูดเหมือนพึมพำซ้ำ ๆ ว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
T ก็พูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือไม่แพ้กันว่า “ข้างหลังน่าจะมีเสื้อนอกของเราอยู่ เอามาห่มไว้ก่อนก็ได้”
สภาพของ H คือ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างก่อนคงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
สถานการณ์ตอนนี้อันตรายมาก มือผมเองก็เกือบจะไม่ไหวอยู่แล้ว ซ้ำร้ายอากาศยังหนาวจัดจนร่างกายขยับไม่แม่นยำการตัดสินใจคับขันก็น่าจะไม่ต่างกัน
แต่ในตอนนั้นเอง รถก็พ้นจากป่า เห็นบ้านคนและตัวเมือง สภาพในรถเองก็ยังหนาวเหน็บ สิ่งที่อยู่ข้างหลังก็ยังคงตามมา แต่อย่างน้อยสภาพจิตใจพวกผมก็เริ่มสู้ดีมากขึ้น
แล้วพอขับไปสักพัก ก็เจอตึกสีขาวคล้ายโรงพยาบาลทั่วไป
ทั้ง M และ H โดยเฉพาะ H ก็อยู่ในสภาพวิกฤต ตัวผมกับ T เองก็ไม่ได้สู้ดีนัก ผมคิดว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างคงแย่แน่เลยขับเข้าไปถึงหน้าทางเข้าโรงพยาบาล แล้วเปิดประตูรถอย่างสั่น ๆ ตะโกนขอความช่วยเหลือ ถึงจะหนาวจัดจนร่างกายแทบจะไม่ยอมขยับ เสียงที่ออกมาก็เบามากก็ตาม
เพิ่งมารู้สึกเอาตอนนี้แหละครับว่า ข้างนอกรถอากาศร้อนเอามาก ๆ เป็นคืนที่ร้อนจัดเลย
หันหลังกลับไปดู สิ่งที่ตามมาข้างหลังก็หายไปแล้ว ดูเหมือนพวกเราจะรอดกันแล้วครับ
ไม่รู้เพราะมีเรื่องผิดปกติที่ทางเข้าเลยสังเกตเห็นพวกผมรึเปล่า แต่พยาบาลหลายคนต่างก็กรูกันออกมา พาตัวพวกผมเข้าไปในโรงพยาบาลครับ โดย M กับ H ถูกยกขึ้นเปลเข็นเข้าไป
หลังจากนั้น ผมกับ T ก็ถูกวินิจฉัยว่าเกิดอาการอุณหภูมิร่างกายต่ำ (Hypothermia) ระดับเบา เลยถูกพาตัวไปที่อ่างอาบน้ำของโรงพยาบาล แล้วให้แช่น้ำอุ่นกัน
ส่วน M กับ H โดยเฉพาะ H นั้นอาการระดับหนัก เลยถูกนำตัวไปที่อื่นครับ
ผ่านไปสัก 30 นาที อาการสั่นของผมเริ่มหยุด เลยถูกนำตัวออกจากอ่างไปเปลี่ยนชุด
นั่งจิบโกโก้ร้อน ๆ อยู่ ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คนมาคุยกับผมและ T สงสัยคงมีคนแจ้งเพราะนึกว่ามีเรื่องราวที่เป็นคดีความครับ
พวกผมทั้งคู่ก็คิดว่า โกหกไปก็คงไม่มีประโยชน์ เลยเล่าเรื่องที่เกิดที่นั่นตามที่เกิดขึ้นจริงให้ทางตำรวจฟัง แน่นอนว่าก็ไม่เชื่อไปตามระเบียบครับ
ทางตำรวจเลยขอตรวจค้นรถของ T ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายก็ไปยังจุดที่พวกผมเจอกับสิ่งที่ว่า แต่ก็ไม่พบหลักฐานอะไรชัดเจน ทีแรกดูเหมือนจะสงสัยตัวพวกผมทั้งคู่อย่างมาก ถึงขั้นขอตรวจปัสสาวะเลยทีเดียว
มาคิดดูตอนนี้ เล่าเรื่องแบบนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง เป็นใครก็คงคิดว่า ไม่เมาเหล้าก็เมายากันเป็นแน่ครับ
ระหว่างนั้น ประมาณ 2-3 ชั่วโมง M กับ H เองอาการก็ฟื้น ส่วน H เนื่องจากอาการหนักที่สุด เลยถูกแอดมิทเข้าโรงพยาบาลดูอาการก่อนคนเดียว แต่ไม่มีอาการตกค้าง เลยถือว่ารอดกันมาได้ทุกคนครับ
ทางตำรวจเอง จากที่สอบถามเรื่องราวทุกฝ่ายแล้ว ก็เห็นว่าไม่น่ามีคดีความ เลยบอกแค่ว่า จะลองตรวจสอบดูว่าทำไมถึงเกิดเรื่องประหลาดแบบนี้ขึ้นได้ อาจจะมาสอบถามอีก แล้วก็กลับกันไปครับ
หลังจากนั้น พ่อแม่ของ M และของ H ก็มาถึงโรงพยาบาล สอบถามเรื่องราวจากผม T และ M ถึงจะฟังโดยไม่ได้วิเคราะห์หรือทำทีสงสัยในตัวพวกผม แต่ก็เหมือนจะไม่เชื่อกันแหละครับ
พวกผมไปรวมตัวกันที่ห้องที่ H พักรักษาตัว พูดคุยกันต่าง ๆ นา ๆ ถึงผมและ T กับ M จะฟื้นตัวแล้วก็ตาม แต่ก็อ่อนแรงกันอยู่ หมอเลยบอกให้รีบกลับนอนพักซะ เลยต้องออกจากห้องพักผู้ป่วยกันครับ
M ก็กลับบ้านไปกับพ่อแม่
ส่วนผมกับ T ก็ว่าจะกลับกัน แต่ก็มีปัญหากันนิดหน่อยที่ล็อบบี้โรงพยาบาล เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เล่าเลยขอข้ามไปนะครับ
H ก็ออกจากโรงพยาบาลในวันถัดมาตามที่หมอบอก หลังจากนั้นมาพวกผมเองก็ไม่ได้เจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้อีก ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงเป็นเรื่องที่ T กับ M เริ่มคบกันเป็นแฟนล่ะมั้งครับ ส่งรูปคู่มาอวดผมบ่อย ๆ เลย
สุดท้าย สิ่งที่พวกผมเจอมันคืออะไรกันแน่ ก็ยังหาคำตอบกันไม่ได้ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิต แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นสิ่งมีชีวิตรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลยครับ สัญชาตญาณของผมบอกได้แค่ว่า มันไม่น่าจะใช่ผีหรืออะไรแนวนั้นครับ น่าจะเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง อะไรทำนองนี้มากกว่าครับ
—————————————
ก็ไม่รู้นะครับว่ามันคืออะไรกันแน่ ถ้าจินตนาการตามที่เล่ามา มันคงเหมือนไข่อะไรสักอย่างที่เปลือกเป็นหนัง หุ้มด้วยละอองโลหะลอยอยู่รอบ ๆ แถมดูดความร้อนจากวัตถุอื่นได้ด้วย ก็ไม่รู้นะครับว่ามันดูดความร้อนเป็นอาหารเพื่อฟักออกมาเป็นตัวอะไรหรือเปล่า หรือนี่คือร่างจริงตัวเต็มวัยแล้ว...
Comments