เอ็นมุสุบิ (縁結び / Enmusubi) เป็นหนึ่งในพรที่จะได้รับในการไปไหว้ศาลเจ้า ซึ่งก็แล้วแต่เทพประจำศาลว่าจะเด่นด้านใด และตัวผู้ไปไหว้จะขอพรและเช่าเครื่องรางด้านใดอีกทีครับ แต่คำว่าเอ็นมุสุบิ มีอะไรที่มากกว่าเรื่องความรักครับ ในคราวนี้เราจะมาไขความลับของ เอ็นมุสุบิ กันครับ
เอ็นมุสุบิ คืออะไร?
ความหมายของเอ็นมุสุบิ
คำว่า เอ็น (縁 / En) ปกติใช้หมายถึงดวงหรือโชค โดยเฉพาะในแง่ควงชะตา วาสนา หรือความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำไม คนญี่ปุ่นจึงนิยมใส่กล่องบริจาคให้กับทางวัดหรือศาลเจ้าด้วยเหรียญ 5 เยน (五円 / Go-en) เพราะพ้องเสียงกับคำนี้ในรูปสุภาพพอดี (ご縁 / Go-en) ส่วนโชคในแนวลาภลอย หรืออะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ จะใช้คำว่า อุน (運 / Un) แทนครับ
ส่วนคำว่า มุสุบิ (結び / Musubi) แปลว่า ผูก มัด เมื่อเอามารวมกันจึงแปลว่า การผูกดวง นิยมใช้ในแง่ความสัมพันธ์เท่านั้น อย่างที่ภาษาไทยก็ใช้ว่า ดวงสมพงษ์กัน ภาษาญี่ปุ่นก็ใช้ว่า เอ็นงะอารุ (縁がある / En ga aru มีดวงร่วมกัน)
แต่ก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความสัมพันธ์เชิงรักเพียงอย่างเดียวนะครับ คำว่าเอ็นนี้ยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ในแง่อื่น ๆ เช่น สหาย คู่ค้าในภาคธุรกิจ คู่แข่ง รวมถึงดวงที่เป็นเวรเป็นกรรมต่อกันแต่ตัดกันไม่ขาด ซึ่งเรียกว่า คุซาเระเอ็น (腐れ縁 / Kusare-en ดวงสัมพันธ์อันเน่าเฟะ) อีกด้วย
การไปไหว้ศาลเจ้า ใครควรขอพรเรื่องเอ็นมุสุบิ?
จากการสัมภาษณ์ผู้ดูแลศาลเจ้า (ご神職 / Go-Shinshoku) ถ้านับตามความหมายจริง ๆ เอ็นมุสุบิ หรือการผูกดวงนั้น จะจำกัดเฉพาะเวลาที่มีบุคคลอีกฝ่าย (คนที่อยากให้ดวงสมพงษ์กัน ให้คบหากัน) เท่านั้น โดยในแง่ของความรัก เป้าหมายของการผูกดวงคือการแต่งงานนั่นเอง
สำหรับคนที่ยังไม่พบใคร แล้วอยากได้พบและคบหากัน หรือคบหาไปจนแต่งงาน จะมีการขอพรหรือเช่าเครื่องรางที่ต่างออกไป แต่ปกติในศาลเจ้าที่ขึ้นชื่อในเรื่องการผูกดวงก็มักจะให้พรในด้านความรักอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ผมขอสรุปให้ดังนี้นะครับ จะได้ซื้อเครื่องรางได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์
- 恋愛成就 (Ren-ai Joju / เร็นไอโจจุ) ความรักเป็นผล: สำหรับผู้ที่ยังไม่มีคนที่ถูกใจ เป้าหมายคือการพบเจอคนดี ๆ เพื่อคบหากัน
- 良縁祈願 (Ryo-en Kigan / เรียวเอ็นคิกัน) ขอพรถูกชะตา: สำหรับผู้ที่ยังไม่มีคนที่ถูกใจ เป้าหมายคือการพบและคบหาไปจนการแต่งงาน จุดเริ่มต้นเหมือนกับเร็นไอโจจุแต่เป้าหมายต่างกัน)
- 縁結び (En-musubi / เอ็นมุสุบิ) ผูกดวง: สำหรับผู้ที่มีคนที่ถูกใจอยู่แล้ว เป้าหมายคือส่งเสริมให้รักใคร่กันไปจนถึงขั้นแต่งงาน เป้าหมายเหมือนกับเรียวเอ็นคิกันแต่จุดเริ่มต้นต่างกัน
แน่นอนว่าถ้าใครที่มีคนที่ชอบอยู่ในใจแล้ว จะขอพรและเช่าเครื่องรางผูกดวงไปก็ไม่มีปัญหาครับ แต่ตรวจสอบดูดี ๆ ด้วยนะครับว่าคนที่ชอบนั้นพอจะมีวาสนาร่วมกันรึเปล่า ถ้าไม่มีดวงร่วมกันเลย เทพองค์ไหนก็อาจจะบันดาลให้ไม่ได้นะครับ เพราะไม่มีดวงให้ผูกหากันแต่แรก ดังนั้นถ้าคิดว่าไม่มีหวัง ขอพรเร็นไอโจจุไปก่อน เผื่อจะได้เจอคนที่ใช่ตัวจริงของคุณสักที อิอิอิ
ส่วนในแง่อื่น ๆ ก็สามารถทำได้ เช่น ในเรื่องคู่ค้าในเชิงธุรกิจ ให้มีงานร่วมกันบ่อย ๆ ทำกิจการร่วมกันดี ๆ ก็ใช้ เอ็นมุสุบิ ได้เช่นกันครับ และสามารถเสริมดวงชะตาในด้านโชคลาภและการเงิน (ดวงสมพงษ์กับวัตถุ) ได้อีกด้วย
มีผูกย่อมมีตัด เอ็นคิริ คืออะไร?
เอ็นคิริ (縁切り / En-kiri) คือการตัดดวง ตัดความสัมพันธ์ ให้ไม่ต้องพบเจอกันอีกนั่นเองครับ
คำนี้มีต้นกำเนิดมาจากสมัยก่อนที่มีสำนักแม่ชีสำหรับให้ผู้หญิงที่ต้องการหนีจากสามีที่แย่ ๆ มาใช้ชีวิตที่ตัดขาดจากสามีได้ แต่ในปัจจุบันก็มีศาลเจ้าที่ขึ้นชื่อในเรื่องการขอพรในแง่นี้ด้วยครับ โดยมากจะเป็นการขอพรเพื่อตัดขาดจากบุคคลไม่พึงประสงค์ เช่น สามีเก่า เจ้านายที่ร้าย ๆ แต่ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเปิดทางให้ชีวิตได้พบเจอสิ่งดี ๆ ใหม่ ๆ ศาลเจ้าเดียวกันนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องการผูกดวงด้วยครับ จึงมีทั้งการขอตัดความสัมพันธ์กับแฟนเก่า แล้วขอให้ได้เจอคนใหม่ที่ดี ๆ หรือตัดความสัมพันธ์ไม่ดีทิ้งไปก่อนจะเริ่มคบหากับใครสักคน เป็นศาลเจ้าที่ผู้หญิงนิยมกันมากครับ
ถ้าใครคิดว่าตัวเองโดนใครสักคนผูกดวงไว้ (เช่นคนที่แอบชอบตัวคุณอยู่ หรือมีสัญญาเก่าจากชาติที่แล้วแต่ยังหากันไม่เจอสักที) เลยไม่พบเจอคนดี ๆ ในชีวิต ลองไปตัดสัมพันธ์พวกนี้ดูก็ได้นะครับ
เทพที่ขึ้นชื่อเรื่องการผูกดวงและความรัก
คิดว่าหลายคนคงข้ามมาอ่านตรงนี้กันรัว ๆ เลยนะครับ อยากจะไปไหว้ขอพรกันแล้วใช่มั้ย มาดูกันเลยครับ
1. โอคุนินุชิโนะมิโกโตะ (大国主命) / Ōkuninushi-no-mikoto เทพผู้ครองแผ่นดิน) และกระต่ายขาวแห่งอินาบะ (因幡の白兎 / Inaba no Shirousagi)
ตามตำนานเทพปกรณัม คือลูกหลานของสุซาโนะโอที่ได้ครองแผ่นดิน แต่เมื่อเทวีสุริยา อามาเทราสุ ได้มีบัญชาให้ยกแผ่นดินให้ลูกหลานของเทวีเป็นผู้ปกครอง โอคุนินุชิได้ยกแผ่นดินให้และกลายเป็นเทพ ในตำนานยังกล่าวถึงการช่วยกระต่ายขาวแห่งอินาบะจนได้ครองรักกับยากามิฮิเมะ และการบูชาเทพโอโมโนนุชิ (大物主神 / Ōmononushi-kami เทพผู้ครองสรรพสิ่ง) ทำให้เชื่อกันว่า หลังจากเสวยสุขในโลกอุดรพิสดาร (幽世 / Kakuri-yo) ได้เป็นเทพผู้มีอำนาจในการหยั่งรู้ดวงวาสนาหรือบุญกรรมของสรรพสิ่ง จึงเป็นเทพแห่งด้าน เอ็นมุสุบิ ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่ง โดยมีกระต่ายขาวแห่งอินาบะเป็นผู้ช่วยในด้านนี้โดยเฉพาะ
2. เทพผู้สร้างทั้งสาม (造化の三神 / Zoka no sanshin)
อามาโนมินาคานุชิคามิ (天之御中主神 / Amanominushi-kami เทพผู้ครองสวรรค์เบื้องกลาง) ทาคามิมุสุบิโนะคามิ (高御産巣日神 / Takamimusubi-no-kami เทพผู้ให้กำเนิดกาลเบื้องสูง) และ คามิมุสุบิโนะคามิ (神産巣日神 / Kamimusubi-no-kami เทพผู้ให้กำเนิดกาลแห่งเทพ) ถูกจัดให้เป็นเทพผู้สร้างทั้งสาม หากเทียบกับทางฮินดูก็จะคล้าย ๆ กับ พระตรีมูรติ ซึ่งจะมีพระพรหมที่คนนิยมบูชาให้เป็นเทพแห่งความรัก ดังคำกล่าวที่ว่า พรหมลิขิต นั่นเอง หรือในทางกรีกก็จะเป็น Moirai สามเทวีทักทอผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์ ในความเชื่อของญี่ปุ่นก็คล้าย ๆ กัน นอกจากจะเป็นผู้สร้างแล้ว ยังมีชื่อที่พ้องเสียงกับคำว่ามุสุบิด้วย จึงถูกบูชาให้เป็นเทพแห่งการผูกดวงไปด้วยเช่นกัน
3. เทพคู่แรกในจดหมายเหตุโบราณและพงศาวดารญี่ปุ่น อิซานากิโนะมิโกโตะ (伊弉諾尊 / Izanagi-no-mikoto) และอิซานามิโนะมิโกโตะ (伊弉冉尊 / Izanami-no-mikoto)
เนื่องจากเป็นเทพที่เกิดมาเป็นคู่และครองรักเป็นสามีภรรยากันเป็นคู่แรกสุดที่ถูกบันทึกในโคจิกิและนิฮอนโชกิ จึงได้รับการบูชาในฐานะเทพแห่งคู่รักด้วยเช่นกัน
4. เทพที่เกี่ยวข้องกับตำนานความรักท้องถิ่น
หลาย ๆ ที่มักจะมีตำนานท้องถิ่น โดยเฉพาะการปราบเทพมังกรที่อาละวาดด้วยความรักของหญิงสาว เช่นที่เอะโนชิมะ (江ノ島 / Enoshima) ในจังหวัดคานากาว่า ก็มีตำนานเรื่องเทวีกับเทพมังกรห้าเศียร มังกรที่เคยดุร้ายเคยเรียกร้องเครื่องสังเวยเป็นเด็ก อยู่ประจำ แต่เมื่อทางสวรรค์ส่งเทวีองค์หนึ่งมาปราบ มังกรกลับหลงรักนางจนยอมเปลี่ยนมาดูแลมนุษย์ในที่สุด ส่วนที่ศาลเจ้าคิฟุเนะในแถบคิบุเนะของเกียวโตก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับเทพอันน่าเศร้าอย่างเทวีอิวานากะฮิเมะโนะมิโกโตะ (磐長姫命 / Iwanagahime-no-mikoto) ซึ่งมีรูปร่างไม่งดงามเท่าน้องสาว เมื่อน้องสาวได้แต่งงาน ผู้เป็นพ่อจึงยกคนพี่ให้เจ้าบ่าวไปด้วย แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยความรูปไม่งาม จึงสถิตอยู่ ณ ที่นั้นเพื่อเป็นเทวีแห่งการเสริมวาสนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน
5. เทพที่สถิตอยู่ในวัตถุมงคลที่เป็นคู่บ่าวสาว เมโอโตะ (夫婦 / Meoto)
ในญี่ปุ่นนั้นมีวัตถุเก่าแก่ที่มีลักษณะเป็นเหมือนคู่สามีภรรยามากมาย เช่นต้นไม้คู่อายุนับหลายร้อยปี โขดหินคู่เก่าแก่ หากอยู่ในความดูแลของศาลเจ้าก็จะกลายเป็นวัตถุที่ผู้คนนิยมไปขอพรเรื่องความรักเนื่องจากเชื่อว่ามีเทพคู่สามีภรรยาสถิตอยู่ภายใน หากจะเทียบก็คล้าย ๆ กับต้นไม้คู่ตายาย หินตาหินยาย (ไม่นับเรื่องรูปร่างของหิน) ครับ
ศาลเจ้าที่ขึ้นชื่อเรื่อง เอ็นมุสุบิ
มาแล้ว ๆ ใครจะปักหมุดที่ไหนก็เตรียมตัวกันไว้นะครับ
สามศาลเจ้าผูกดวงขึ้นชื่อของญี่ปุ่น (日本三大縁結び神社 / Nihon Sandai Enmusubi Jinja)
1. ศาลเจ้าใหญ่อิซุโมะ
บูชาเทพโอคุนินุชิ ตามตำนานนั้น ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมหาเทวีอามาเทราสุ ตามข้อตกลงที่จะยกแผ่นดินให้ลูกหลานเชื้อสายขององค์เทวีเป็นผู้ปกครอง ขึ้นชื่อเรื่องการผูกดวง และยังติดหนึ่งในสามเครื่องรางผูกดวงที่สัมฤทธิ์ผลที่สุดด้วย
2. ศาลเจ้าคิฟุเนะ
บูชาเทพแห่งน้ำ ถ้ำมังกร ศิลารูปเรือใบ และเทวีอิวานากะฮิเมะ สำหรับการไปขอพรเรื่องความรักนั้น จำเป็นต้องเดินทางไปยังศาลยุอิ (結社 / Yui no Yashiro ศาลแห่งการมัด) หรือที่เรียกกันว่า นาคามิยะ (中宮 / Nakamiya เรือนกลาง) ที่นี่นอกจากจะดังในเรื่องการผูกดวงแล้ว ยังเด่นในเรื่องการตัดดวง เอ็นคิริ ด้วย รวมไปถึงการทำพิธีสาปแช่งผูกดวงอาฆาต...
3. ศาลเจ้าใหญ่เคตะ
บูชาเทพโอคุนินุชิ มีพิธีผูกดวงในวันที่หนึ่ง ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 1 ของทุกเดือน มีจดหมายขอบคุณมาจากสาว ๆ ที่เคยมาขอพรกว่า 70,000 ฉบับแล้วครับ
ศาลเจ้าที่มีเครื่องรางขึ้นชื่อผ่านการจัดอันดับ
ถ้าจะเช่าเครื่องรางไปบูชา ก็ควรมาดูการจัดอันดับเครื่องรางของศาลเจ้าต่าง ๆ กันบ้างครับ
1. ศาลเจ้าใหญ่อิซุโมะ อันดับหนึ่งในทุก ๆ ด้าน
2. ศาลเจ้าโตเกียวไดจิงกู (東京大神宮 / Tokyo Daijingu) บูชาเทวีสุริยา เทวีการเกษตรและอาหาร และเทพผู้สร้างทั้งสาม อยู่ในโตเกียวและมีเคล็ดพิเศษในการไปขอพรด้วย
3. ศาลเจ้าฮิคาวะแห่งคาวาโกเอะ บูชาเทพโอคุนินุชิเช่นกัน มีเทศกาลกระดิ่งลมแห่งรักอันเลื่องชื่อ
4. ศาลเจ้าจิชุ (地主神社 / Jishu Jinja) บูชาเทพโอคุนินุชิ อยู่ในเกียวโต มีศิลาทำนายรักเป็นสัญลักษณ์เด่นประจำศาล
5. ศาลเจ้าใหญ่เคตะ ติดอันดับด้านเครื่องรางเช่นกัน
แถม 1: เคล็ดลับพิเศษ วิธีการไปขอพรที่ศาลเจ้าโตเกียวไดจิงกูให้ได้ผลที่สุด
สำหรับศาลเจ้าโตเกียวไดจิงกู ขึ้นชื่อกันมากว่าถ้าไปไหว้อย่างถูกวิธี จะได้ผลสัมฤทธิ์สูงมากครับ เพื่อนในบริษัทก็บอกว่าไปไหว้แล้วก็เจอคนรักภายในสามเดือน คบกันไม่ถึงปีก็แต่งแล้วครับ มาดูกันเลยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
- ไปไหว้ศาลเจ้าในช่วงก่อนเที่ยงวัน
- ไปคนเดียวและไม่คุยกับใคร หากพบเจอคนรู้จักกลางทางก็ถือเป็นโมฆะ ให้หาวันอื่นแทน
- ตรงไปที่ศาลเจ้า เสร็จกิจแล้วกลับทันที ห้ามแวะที่อื่นระหว่างทางทั้งขาไปและกลับ
- ซื้อเครื่องรางที่มีดอกสึสึรัน (ดอกรูปกระดิ่ง) ที่มีเชือกสีชมพู หากไม่มีอนุโลมให้ใช้สีขาวแดงได้
แถม 2: เรื่องแปลก “รถไฟตู้นอน”
เมื่อ 5-6 ปีก่อน ผมเคยออกต่างจังหวัดไปทำธุระที่มัตสึเอะ
เมื่อก่อนเคยคิดอยากจะลองนั่งรถไฟขบวน Blue Train ดู จึงขึ้นรถไฟตู้นอนจากสถานีโตเกียวไปครับ
ที่ขึ้นไปนั้นเป็นตู้นอนเกรด B ซึ่งมีเพียงม่านไว้กั้นแยกกับแขกคนอื่น ๆ ครับ
ก็แอบสนใจนะครับว่าคนที่อยู่เตียงข้าง ๆ กับเตียงข้างบนจะเป็นคนแบบไหน
แต่คนที่ขึ้นรถมาด้วยมีเพียงแค่เตียงข้าง ๆ ที่เป็นคุณตาแก่ ๆ เท่านั้นครับ
ผมก็ทักทายพูดคุยกันไปพอประมาณ จากนั้นก็จัดเตียงแล้วก็อ่านหนังสือ ใช้เวลาส่วนตัวกันทั้งคู่ครับ
พอสัก 5 ทุ่ม ผมก็ย้ายไปตู้พื้นที่สาธารณะที่เรียกว่า Free Space แต่เดิมเป็นตู้เสบียงไว้ทานอาหาร แต่ตอนนั้นไม่เปิดให้บริการแล้วครับ
พอจะหาที่นั่ง ก็หันไปเจอคุณตาคนเดิมมาอยู่ที่นี่เหมือนกัน
ไหน ๆ ก็สบตากันแล้ว เลยไปนั่งกับคุณตาคนนั้นครับ
คุณตานั้นเหมือนว่าจะขึ้นรถขบวนนี้เป็นประจำตั้งแต่สมัยที่ตู้เสบียงยังเปิดให้บริการ ท่านจึงเล่าเรื่องสมัยก่อนให้ฟัง
ท่านบอกว่ารถไฟตู้นอนรุ่นใหม่ก็ชอบนะ แต่ท่านผูกพันกับตู้แบบนี้มากกว่า
พอเลยเที่ยงคืน ก็ชวนกันแยกย้ายไปนอน เลยกลับไปที่เตียงตัวเองกันครับ
วันถัดมา พอถึงที่มัตสึเอะ ก่อนลงพอผมกล่าวลาคุณตาซึ่งจะนั่งต่อไปลงที่สถานีปลายทาง
ท่านก็พูดขึ้นว่า “เอานี่สักอันมั้ย...” พร้อมมอบลูกอมมาให้
หลังกินข้าวเที่ยง ผมก็ลองนำลูกอมมาอม
เป็นลูกอมที่ห่อด้วยกระดาษญี่ปุ่น มีสีสันสวยงาม
แต่กลับไม่มีรสชาติอะไรเลย
พอทำงานเสร็จ ผมก็ขึ้นรถไฟตู้นอนอีกครั้งเพื่อกลับเข้าโตเกียว
รอบนี้ เตียงข้าง ๆ มีคนขึ้นมานั่งอยู่แล้ว
เป็นผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม เลยทักทายไปพอประมาณ
ไม่ได้นึกมาก่อนว่าจะมีหญิงสาวขึ้นรถนอนแบบนี้ด้วย เลยประหม่านิดหน่อยครับ
รอบนี้ผมก็ไปที่ Free Space เช่นกัน เอาข้าวกล่องที่ซื้อจากสถานีมานั่งกินแล้วก็อ่านหนังสือต่อ
เวลาผ่านไปสักพัก พอกลับไปที่เตียง ก็ผมว่าสาวเตียงข้าง ๆ กำลังอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน
ผมเลยเผลอพูดทักไปว่า “อ้าว หนังสือเล่มเดียวกันเลยนะครับ” สาวคนนั้นก็ประหลาดใจในความบังเอิญนี้ด้วยเช่นกัน
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ พอลองคุยกันดู ก็ได้ทราบว่าผู้หญิงคนนี้เธอเดินทางมาไหว้ศาลเจ้าที่อิซุโมะ หลัก ๆ คือศาลเจ้าใหญ่อิซุโมะครับ
คุยกันถูกคอเหมือนความถี่จะตรงกัน เราเลยแลกข้อมูลติดต่อกันไว้ครับ
หลังจากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ได้กลายเป็นแฟน ปัจจุบันก็กลายมาเป็นภรรยาแล้วครับ
เมื่อไม่นานมานี้ พอภรรยาผมได้ยินว่าผมเคยได้รับลูกอมไม่มีรสชาติมาจากคุณตาท่านหนึ่ง เธอก็บอกว่าเธอก็ได้รับมาเหมือนกัน
เราทั้งคู่ก็ได้แต่พูดกันว่า “แปลกดีเนอะ”
เราเลยสรุปกันว่า ลูกอมอันนั้นคงเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตา และคุณตาคนนั้นคงเป็นเทพแห่งการผูกดวงครับ
อ่านบทความอื่นได้ที่นี่>>>เรื่องราวลี้ลับและสยองขวัญ
Comments